เยอะไป…ชูวิทย์

แรกเริ่มก็ดูสนุกดีนะครับ รายการคุยข่าวกับชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ทั้งในฐานะผู้จัดรายการที่ไทยรัฐทีวี และคอมเมนเตเตอร์ข่าวยามเช้าทางช่อง 3


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

แรกเริ่มก็ดูสนุกดีนะครับ รายการคุยข่าวกับชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ทั้งในฐานะผู้จัดรายการที่ไทยรัฐทีวี และคอมเมนเตเตอร์ข่าวยามเช้าทางช่อง 3

ชูวิทย์ครบเครื่องทั้งเชิงโลกียวิสัย รู้เท่าทันมนุษย์ ความรู้เชิงกฎหมายดีมากจากการเคยทำธุรกิจโฉบเฉี่ยวผิดกฎหมายและประสบการณ์จากคุก ตลอดจนคำพูดคำจาโผงผางออกแนวนักเลงและแฝงไปด้วยอารมณ์ขัน

ก็ถือเป็นสีสันฉูดฉาดใหม่ในวงการสื่อก็แล้วกัน

ชูวิทย์มาพีคสุดๆ เอากับข่าวบุกทลายสำนักอาบอบนวด “วิคตอเรีย ซีเคร็ท” นี่แหละ โดยเฉพาะการทำหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญที่ช่อง 3

ภูมิหลังดั้งเดิมในฐานะเจ้าสำนักอ่างทำให้ชูวิทย์เล่าข่าวเรื่องนี้อย่างมีรสชาติ วิเคราะห์ตื้นลึกหนาบางในการหลบเลี่ยงกฎหมายของเจ้าสำนักได้เป็นฉากๆ

เผลอๆ อาจจะช่ำชองมากกว่า “เสี่ยกำพล” ซะอีก เพราะของมันเคยกับมือมา

ชูวิทย์ละเลงถึงกำพล วิระเทพสุภรณ์อย่างเอาเป็นเอาตาย ราวกับคู่อาฆาตมาดร้าย

แต่ที่ไหนได้ “เสี่ยกำพล” คือบุคคลที่ทำให้ชูวิทย์ “ล้างมือในอ่างทองคำ” ได้

ใช่ว่ายกกิจการให้กันฟรีๆ เสียที่ไหนเล่า ชูวิทย์ขายกิจการทั้งหมด 6-7 อ่างไปให้เสี่ยกำพล รับเงินสดไป 700 กว่าล้านบาท  แล้วก็ “ฟอกขาว” ให้ตัวเองได้ทันทีในนาม “องคุลีมาลกลับใจ”

คุณงามความดีหรืออาจจะเป็น “บุญคุณ” บ้างของเสี่ยกำพลต่อชูวิทย์ มันจะไม่มีหลงเหลือบ้างเชียวหรือ

นั่นเป็นปัญหาทางจริยธรรมส่วนตัวของชูวิทย์ ผมไม่ได้บอกว่าเสี่ยกำพลถูก ไม่สมควรต้องรับโทษนะ แต่ใครๆ ก็รู้กันอยู่ว่า สถานบริการอาบอบนวดทุกแห่งมันมีการค้าประเวณีแฝงอยู่ทั้งนั้น

“โสเภณีเด็ก” อายุต่ำกว่า 18 ปีในสถานประกอบการของชูวิทย์ตอนนั้นก็มีไง ไม่ใช่ไม่มี หลักฐานก็คือหุ้นในบริษัทย่อยเดวิส กรุ๊ป 4-5 บริษัทที่ถูกอายัดยึดมาเป็นของกระทรวงการคลังไง

ถ้าชูวิทย์ตั้งใจจะกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดีจริง ก็ไม่ควรจะสืบสาน “ธุรกิจบาป” โดยการขายให้กับกำพล จะทุบทิ้งทำเป็นโรงแรมแทน หรือยกให้เป็นสวนสาธารณะสีย

ใบอนุญาตให้ตั้งสถานบริการอาบอบนวดที่มีราคา ก็ควรเผาทิ้งไปเสีย รู้ทั้งรู้ว่าเอาไปขายให้คนอื่น เขาก็ต้องทำธุรกิจบาปแบบเดียวกับที่ชูวิทย์เคยทำ

นอกจากปัญหา “จริยธรรม” ของชูวิทย์ ผมก็ว่าน่าจะตวจสอบปัญหา “จรรยาบรรณสื่อ” ของชูวิทย์ด้วยนะ

ไอ้ประเภทเกินเลยหน้าที่ถึงขั้นเดินทางไปชี้เบาะแสและให้ถ้อยคำกล่าวโทษบุคคลอื่นต่อตำรวจและดีเอสไอน่ะ “สื่อแท้จริง” เขาไม่ทำกัน

เว้นแต่พวก “สื่อเทียม” หรือผู้ที่แอบแฝงเข้ามาในวงการสื่อเท่านั้น

สื่อแท้” เขาจะไม่ทำตัวเป็นผู้พิพากษาเสียเอง หน้าที่คือทำความจริงให้ปรากฏต่อสาธารณชนเท่านั้น ไม่มีหน้าที่ไปให้การกล่าวโทษหรือปรักปรำใครต่อเจ้าหน้าที่บ้านเมือง

ไม่เช่นนั้น สื่อก็จะทำตัวเป็นสปายสายลับ เที่ยวล้วงตับ “แหล่งข่าว” แล้วก็เอาความลับแหล่งข่าวไปฟ้องร้องดำเนินคดี ปั่นป่วนผู้คนและสร้างความอยุติธรรมไปทั่ว

จรรยาบรรณสื่อที่ดีนั้นต้องรักษาความลับและปกปิดแหล่งข่าวมิใช่หรือ ชูวิทย์ทำตรงข้ามทั้งหมด แล้วจะมาสถาปนาตัวเองเป็นสื่อได้อย่างไร

ชูวิทย์เห็นเสี่ยกำพลเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ในบริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น และถือหุ้นในบริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก ก็จินตนาการเอาเองอีกว่า เงินจากการค้ามนุษย์เอาไปฟอกขาวในตลาดหุ้นและเอาไปปั่นหุ้นกันอย่างครึกโครม

ปากพล่อย! พูดทั้งไม่มีความรู้จริง และใส่ร้ายบริษัทตลอดจนตลาดหุ้นโดยปราศจากความรับผิดชอบ

เสี่ยกำพลมีชื่อเป็นผู้บริหารบริษัททั้งสองที่จะมีอำนาจกระทำการใดได้ในบริษัทหรือก็เปล่า ฐานะเป็นแค่ผู้ถือหุ้นเฉยๆ นอกจากนี้หุ้นทั้งสองก็มีราคาต่ำกว่ามูลค่าแท้จริงมากทั้งที่เป็นบริษัทมีกำไรตลอด

นี่มันเป็นหุ้นปั่นหรือปั่นหุ้นภาษาอะไรกันเนี่ย ที่เสี่ยกำพลไปถือหุ้นแสนสิริ ช.การช่าง ทรู ฯลฯ ไม่เห็นชูวิทย์จะตามไปตอแย

ลมปากชูวิทย์ยังไปทำลายทีมฟุตบอลจังหวัดต่างๆ โดยเฉพาะทีมเชียงราย ยูไนเต็ด ที่เสี่ยกำพลให้การสนับสนุน โดยเหมารวมหมดว่าทีมฟุตบอลทั้งหลายล้วนเป็นแหล่งฟอกเงินของนักการเมืองและขบวนการค้ามนุษย์หมด

โดนลมปากพิฆาตเช่นนี้แล้ว วงการฟุตบอลอาชีพบ้านเราจะเจริญเติบโตขึ้นได้อย่างไร

เยอะไปแล้วล่ะชูวิทย์ ช่อง 3 ก็พึงระวังให้ดีกับการทำหน้าที่ “สื่อเทียม” ของชูวิทย์

Back to top button