พาราสาวะถี
ออกอาการหงุดหงิดด้วยการเดินออกจากไมโครโฟนให้สัมภาษณ์ทันที สำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อถูกนักข่าวถามเรื่อง ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีภาพปรากฏตัวที่ประเทศจีน โดยระบุว่า ไม่สนใจคนกลุ่มนี้ เนื่องจากเป็นบุคคลที่ทำผิดกฎหมาย สื่อก็ไม่ควรสนใจ ซึ่งยังคงท่องคาถาการปฏิบัติตามกฎหมายอยู่ตลอดเวลาสำหรับท่านผู้นำ
อรชุน
ออกอาการหงุดหงิดด้วยการเดินออกจากไมโครโฟนให้สัมภาษณ์ทันที สำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อถูกนักข่าวถามเรื่อง ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีภาพปรากฏตัวที่ประเทศจีน โดยระบุว่า ไม่สนใจคนกลุ่มนี้ เนื่องจากเป็นบุคคลที่ทำผิดกฎหมาย สื่อก็ไม่ควรสนใจ ซึ่งยังคงท่องคาถาการปฏิบัติตามกฎหมายอยู่ตลอดเวลาสำหรับท่านผู้นำ
คำถามหากจะย้อนกลับไปยังคนที่พูดก็คือ ที่กล้าเรียกร้องให้คนอื่นปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นเพราะตัวเองมีกฎหมายที่นิรโทษกรรมให้แล้วหรือไม่ จึงไม่ได้เกรงกลัวอะไร เพราะการกระทำในนามหัวหน้าคสช.ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตถือว่าไม่เป็นความผิด หากคิดจะยึดความเที่ยงธรรมจะโดยหลักอะไรก็สุดแท้แต่ ตัวเองก็ไม่ควรจะอยู่ในสถานะยกเว้นโทษให้ทุกการกระทำด้วย
อย่างไรก็ตาม พอจะเข้าใจได้ในอารมณ์ไม่พอใจของท่านผู้นำเมื่อถูกถามถึงเรื่องสองพี่น้องตระกูลชินวัตร ประการหนึ่งการไปปรากฏกายที่จีนแผ่นดินใหญ่ เหมือนเป็นการเหยียบจมูกรัฐบาลเผด็จการที่ผูกมิตรไมตรีอย่างเหนียวแน่นกับประเทศจีน อันสะท้อนผ่านการทุ่มซื้อเรือดำน้ำ รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ล็อตใหญ่ รวมไปถึงการลงทุนในโครงการรถไฟไทย-จีน
ย่อมจะเกิดความหงุดหงิดในหัวใจ ในเมื่อยอมให้ทุกอย่างเช่นนี้ทำไมจึงปล่อยให้หนามตำใจของผู้นำประเทศไทย มาเดินฉุยฉายสบายใจเฉิบอยู่ในดินแดนแห่งนี้ได้ นี่เป็นการคิดประสาคนที่เอาแต่ใจ ไม่ยอมรับว่า นานาประเทศเขาไม่ได้มองอดีตนายกฯของไทยทั้ง 2 รายเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ แม้แต่ประเทศที่ได้ชื่อว่าไม่เป็นประชาธิปไตยก็ตาม
ดังนั้น การมาปรากฏตัวเช่นนี้มันจึงเป็นการหยามกันชัดๆ ไม่เพียงเท่านั้น หากทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ เลือกที่จะปรากฏตัวบ่อยครั้ง ย่อมจะเกิดคำถามจากบรรดากองเชียร์เผด็จการพุ่งเข้าใส่ท่านผู้นำและองคาพยพที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่องและรุนแรง ปล่อยให้ทั้งคู่มาลอยหน้าลอยตาอยู่ได้อย่างไร ซึ่งจะยิ่งสร้างความหงุดหงิดหัวใจให้ผู้มีอำนาจอีกหลายเท่าทวีคูณ
มากไปกว่านั้น คำถามที่ยังไร้คำตอบคือมีการปล่อยให้ยิ่งลักษณ์หนีไปได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดครองประเทศ จะอ้างว่าไม่ได้ติดตามอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงคงจะดูเป็นการแก้ตัวที่ตื้นเขินเป็นอย่างยิ่ง เพราะห้วงเวลาที่อดีตนายกฯหญิงหนีนั้นคือก่อนวันที่ศาลจะมีคำพิพากษา จึงต้องเกาะติดเฝ้าตามไม่ให้คลาดสายตา จุดนี้คือปมค้างคาใจจากบรรดากองเชียร์ในฐานะกองแช่งตระกูลชินวัตรเป็นอย่างมาก
จากปัจจัยอันเป็นด้านลบจำนวนมากเหล่านี้ จึงเป็นเหตุให้ท่านผู้นำไม่สบอารมณ์ที่ถูกนักข่าวจี้ถาม เพราะหากไม่แสดงอาการโมโหด้วยการเดินหนี ลองปักหลักตอบโต้ รับรองได้ว่าจากที่เก็บอาการ พยายามจะเป็นคนอารมณ์ดีมาโดยตลอดนับตั้งแต่ต้นปี ประเด็นนี้จะต้องทำให้บิ๊กตู่ผู้ยิ่งใหญ่ต้องตบะแตกอย่างแน่นอน จึงต้องข่มใจ แล้วอ้างเป็นเรื่องของฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องไปดำเนินการแทน
บอกแล้วว่าข้อเรียกร้องของกลุ่มเคลื่อนไหวอยากเลือกตั้ง ที่โยนให้ไปถามนักการเมือง จะต้องมีบางพวกบางฝ่ายที่แสดงตัว ตั้งข้อกังขาหรือมองสิ่งที่คนเหล่านั้นกำลังทำมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ที่แสดงตัวให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ก็ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั่นไง โดยอ้างโพลของตัวเองจากการโพสต์ข้อความผ่านแอปพลิเคชันไลน์สอบถามผู้ติดตาม
หัวข้อคือเพื่อนๆ มีข้อคิดอย่างไรเกี่ยวกับการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย แลกเปลี่ยนกันได้ ก่อนที่หัวหน้าพรรคเก่าแก่จะโพสต์สรุปความเห็นที่ผู้ติดตามส่งเข้ามาว่า ด้วยข้อความที่ต้องขีดเส้นใต้ ที่ส่งมามีหลากหลายตั้งแต่สนับสนุนจนถึงรังเกียจ โดยแยกเป็น ไม่มีใครอยากให้เกิดความวุ่นวาย อยากให้ใช้สิทธิได้ตามกฎหมาย
อีกพวกมองว่าเริ่มมีความไม่พอใจสะสมมากขึ้นเกี่ยวกับการทำงานของคสช. ตั้งแต่เรื่องเศรษฐกิจ การปฏิรูปและการไม่รักษาคำพูด และ อีกกลุ่มไม่มั่นใจในตัวผู้เคลื่อนไหวและไม่ต้องการให้เหตุการณ์นำบ้านเมืองกลับไปสู่ระบอบทักษิณอีก แหม!เนื่องด้วยเป็นการทำโพลในวงจำกัดคือเฉพาะกลุ่มที่ติดตามอภิสิทธิ์ ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่ามีแนวคิดอย่างไร คำตอบที่ได้จึงเป็นอย่างที่เห็น
แต่ก็พอจะเป็นเหตุผลให้ใช้เป็นข้ออ้างได้ว่า นี่คือสิ่งที่ทำให้คนของพรรคเก่าแก่ไม่เข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มเรียกร้องอยากเลือกตั้ง อย่างที่บอกบางพรรคการเมืองจะมีลูกแทงกั๊กจนกว่ากระแสสังคมจะมีแนวโน้มอันเด่นชัดไปในทางหนึ่งทางใดแล้วเท่านั้น เมื่อนั้น จึงจะได้เห็นท่วงทำนอง ลีลาพร้อมวาทกรรมที่ยากจะมีใครเสมอเหมือนปรากฏให้สังคมได้เห็น
หรือจะเป็นอย่างเช่นที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช.ว่า การก้าวเดินของคนหนุ่มสาวคืออนาคตของสังคมไทย หากไม่คิดจะช่วยเด็กก็อย่าไปเตะตัดขา ถ้ามีใครบอยคอตเลือกตั้ง 2 ครั้งแล้วร่วมขัดขวางกระบวนการลงคะแนนจนเกิดรัฐประหารเป็นภาระให้ประชาชนต้องออกมาต้านเผด็จการ ก็ควรทบทวนตัวเองบ้าง ไม่ใช่คิดถึงแต่บทพระเอกของตัวเอง หรือจ้องจะยัดเยียดบทผู้ร้ายให้คนอื่น
ความจริงหากได้ฟัง รังสิมันต์ โรม แกนนำของกลุ่มอยากเลือกตั้งพูดถึงพรรคการเมืองและสมาชิกพรรคการเมืองที่เงียบหายไปในช่วง 4 ปีใต้รัฐบาลคสช.ก็น่าจะเป็นคำตอบของข้อกังขาที่ผู้ใหญ่รายหลายมีต่อกลุ่มเคลื่อนไหวกลุ่มนี้ได้ หมดเวลาแล้วสำหรับคนที่แสวงหาประโยชน์จากการต่อสู้ของประชาชน พวกเขาไม่ใช่คนของประชาชนอีกต่อไป มีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ อย่าไปเลือกพวกมัน
การประกาศจุดยืนจะยึดการต่อสู้เพื่อประชาชน เราจะขอสาปแช่งพวกเขาและไม่เลือกพวกเขาเข้าสู่สภาอีกต่อไป สภาจะไม่ใช่สถานที่ที่มีเกียรติ ถ้าสมาชิกสภาไม่เคยต่อสู้ร่วมกับประชาชนแม้แต่น้อย เหล่านี้คือภาพสะท้อนให้กับนักการเมืองและพรรคการเมืองได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่โดดไปเล่นการเมืองข้างถนน อ้างรักประชาธิปไตย แต่กลับโบกมือให้อำนาจเผด็จการเข้ามาปกครองประเทศ
พฤติกรรมของนักการเมืองและพรรคการเมืองประเภทนี้ คงไม่ต่างจากนักแต่งเพลงบางรายที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าประชาธิปไตยคือเผด็จการ ทั้งที่จะว่าไปแล้ว องค์กรที่ตัวเองสังกัดอยู่นั้น ผู้บริหารก็มีพฤติกรรมที่ไม่ได้แตกต่างจากนักการเมืองแม้แต่น้อย คอยประจบสอพลอ อิงแอบกับอำนาจทั้งฝ่ายการเมืองและอำนาจอื่น ทำตัวยิ่งกว่าอีแอบเสียด้วยซ้ำ หากจะหาพวกมือถือสากปากถือศีลหรือทุนสามานย์ตัวจริง ก็น่าจะเป็นพวกคนเหล่านี้นี่แหละ