พาราสาวะถี
เพิ่งประกาศให้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติไปหมาดๆ แต่หลังประชุมครม.วันอังคารที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงข่าวสาธยายว่าการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือเปล่า ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ รวมไปถึงทำให้การจราจร ถนนเสียหายไปด้วยหรือไม่ ซึ่งเมื่อรู้อยู่ว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายก็อย่าไปทำ ขอให้รอเวลาก่อนค่อยทำ พร้อมทั้งขอให้นึกถึงส่วนรวมบ้าง
อรชุน
เพิ่งประกาศให้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติไปหมาดๆ แต่หลังประชุมครม.วันอังคารที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงข่าวสาธยายว่าการชุมนุมของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เป็นเรื่องผิดกฎหมายหรือเปล่า ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนหรือไม่ รวมไปถึงทำให้การจราจร ถนนเสียหายไปด้วยหรือไม่ ซึ่งเมื่อรู้อยู่ว่าสิ่งที่ทำอยู่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายก็อย่าไปทำ ขอให้รอเวลาก่อนค่อยทำ พร้อมทั้งขอให้นึกถึงส่วนรวมบ้าง
แหม!คำก็กฎหมายสองคำก็กฎหมาย ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่ากฎหมายที่เอ่ยอ้างนั้นบางฉบับเป็นประกาศหรือคำสั่งของคณะรัฐประหารที่ถูกมองว่าเป็นอำนาจเผด็จการ ก็ยังลอยหน้าลอยตาอ้างถึงอยู่ได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้ฝากประชาชนและผู้ปกครองดูแลกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหว เพราะอาจจะมีปัญหาในอนาคต โดยอ้างว่าไม่ได้ข่มขู่ แต่ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเท่าเทียมกันทุกคน
คงไม่ต้องอธิบายหรือไปโต้แย้งว่าสิ่งที่ท่านผู้นำอันมีอำนาจเหนือสิ่งอื่นใดพูดนั้น ควรที่จะยึดเป็นสาระหรือไม่ แต่การอ้างเรื่องกฎหมาย รวมไปถึงการทำให้การจราจรติดขัด คนจำนวนไม่น้อยก็อดตั้งคำถามไม่ได้ แล้วพวกที่มารวมตัวให้กำลังใจผู้มีอำนาจ วาระยกคณะไปทัวร์นกขมิ้น ตรงนั้นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้คนส่วนใหญ่หรือไม่สร้างปัญหาการจราจรเลยใช่ไหม
ไม่เพียงเท่านั้น การดำเนินคดีกับกลุ่มที่มาให้กำลังใจในเมื่ออ้างข้อกฎหมายว่าด้วยทั้งการขัดคำสั่งคสช.หรือร่างพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ทำไมจึงแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล นี่เป็นภาพสะท้อนของคนที่พล่ามบอกว่ายึดหลักกฎหมาย ท้ายที่สุด ก็มีการเลือกปฏิบัติ เมื่อหลักนิติรัฐ นิติธรรม ถูกนำมาใช้อย่างไม่เป็นธรรม ก็อย่าหวังว่าวาจาที่เปล่งออกมานั้นมันจะศักดิ์สิทธิ์และมีความน่าเชื่อถือ
หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับความพยายามของฝ่ายผู้มีอำนาจที่จะชี้แจง หรือจะพูดให้ถูกคือพยายามจะยัดเยียดให้คนคล้อยตามนั้น ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่ต่างรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแต่ว่าไม่มีใครต้องการที่จะไปตอแยหรือตอบโต้ เพราะเป็นที่รับรู้กันดีว่าการมีปฏิกิริยากับอำนาจอันล้นเหลือนั้น ชะตากรรมจะเป็นอย่างไร
จะมีก็แต่พวกสุดโต่งที่เชียร์เผด็จการอย่างไม่ลืมหูลืมตาเท่านั้นที่จะออกมายกหางหรือช่วยชี้นำสังคมในสิ่งที่ตัวเองเชลียร์ว่าดีแล้ว เลิศแล้ว ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงของสิ่งที่เห็นและเป็นไปต่างรู้อยู่แก่ใจกันดีว่า มันดีจริงหรือไม่ อีแค่เรื่องเลื่อนเลือกตั้ง ที่ท่านผู้นำพยายามอ้างการไม่สามารถไปก้าวล่วงอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติได้ คนไทยทั้งประเทศรวมไปถึงนานาอารยประเทศ เขาต่างพากันขำกลิ้ง
ยิ่งมีลูกคู่อย่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศที่ชื่อ ดอน ปรมัตถ์วินัย คอยสื่อสารกับนักข่าวว่าประเทศนั้น กลุ่มประเทศนี้ไม่ได้ถามหรือกดดันประเทศไทยเรื่องการเลือกตั้ง มันช่างเป็นอะไรที่น่าตลกขบขันเป็นอย่างมาก แม้แต่เด็กอมมือก็ยังรู้ รอให้ผ่านเดือนพฤศจิกายนนี้ไปก่อน แล้วค่อยบอกความจริงกันคนในประเทศว่า ยักษ์ใหญ่ทั้งสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป เขาปลื้มและยินดีที่ไทยแลนด์ยังไม่มีการเลือกตั้งหรือไม่
ความจริงยังไม่สายเกินไป ท่านผู้นำควรจะส่งหนังสือแจ้งไปยังอียูที่เขาประกาศเป็น 1 ในเจตนารมณ์ 14 ข้อของมติที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอียูที่บอกว่าจะฟื้นความสัมพันธ์ด้านการเมืองกับประเทศไทย โดย 1 ในนั้นระบุชัดเจนว่า อียูถือเอาการประกาศของพลเอกประยุทธ์ที่จะเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นพันธสัญญาที่สำคัญว่าเมืองไทยกำลังจะก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
รวมไปถึงแจ้งไปยังกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกาที่ท่านได้ไปแถลงการณ์ร่วมเมื่อคราวไปสะกิดบอก โดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งที่เขาไม่ได้ถามว่าจะประกาศวันเลือกตั้งในปีนี้ ก่อนจะรีบบอกว่าจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน โดยบอกทั้งสองพี่เบิ้มว่า ขอถอนคำพูดเรื่องเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากไม่สามารถไปชี้นำกระบวนการร่างกฎหมายลูกอันจะนำไปสู่การเลือกตั้งของสนช.ได้
แค่เท่านี้ จะได้ไม่ต้องมานั่งเกรงว่าจะมีแรงบีบคั้นกดดันใดๆ มาจากต่างประเทศอีก เชื่อว่าพี่เบิ้มทั้งคู่จะเข้าใจความคับข้องใจของผู้นำเผด็จการจากประเทศไทยได้เป็นอย่างดีว่า ไม่สามารถที่จะใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดที่มีสั่งการใครได้ แม้กระทั่งสนช.ที่ตัวเองตั้งมากับมือ ส่วนคนในประเทศไม่ต้องพูดถึง เลือกตั้งเมื่อไหร่ไม่ใช่ปัญหา เอาที่ผู้มีอำนาจสบายใจก็แล้วกัน
อย่างที่บอกมาโดยตลอด การใช้อำนาจสารพัดตามแต่ที่เนติบริกรให้คำแนะนำ แต่ยังไม่สามารถทำให้เกิดความสงบราบคาบตามที่ต้องการได้ คงเป็นเรื่องยากที่เราจะได้เห็นการเลือกตั้งเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม การจะลากยาวหรืออยู่ให้นานที่สุด ต้องเชื่อมั่นด้วยว่า ประชาชนไม่เดือดร้อน อยู่ดีกินดี และจะไม่มีม็อบกลุ่มปัญหามาขอร้องให้ผู้มีอำนาจช่วยเหลือ
เมื่อไปดูสารพัดโครงการโดยเฉพาะอย่างยิ่งล่าสุดบัตรคนจน คงจะเป็นสิ่งที่การันตีทำให้ท่านผู้นำและคณะมั่นใจอย่างสุดๆ ว่า ได้แก้ปัญหาชีวิตให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศได้ถูกจุด ตรงเป้า และจะไม่เกิดแรงกระเพื่อมใดๆอย่างแน่นอน เมื่อเชื่อกันอย่างนี้ จึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องห่วงหรือกังวลเวลามีใครมาเรียกร้องว่าอยากเลือกตั้ง และคงไม่ต้องออกมาตอบโต้ใดๆ เช่นกัน เพราะเสียงเหล่านั้นคงไม่มีความหมายถึงขั้นที่จะล้มรัฐบาลได้
เหลือเพียงอย่างเดียวคือ ภาวนาว่าอย่าให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองใดๆ ระหว่างพวกเดียวกันเอง แค่นั้นก็พอ เพราะกรณีการเตะตัดขา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ของ นายแพทย์ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ แม้จะมีการขอโทษขอโพยกันไปแล้ว ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญ มาถึงตรงนี้ท่านผู้นำคงไม่เชื่อว่านี่เป็นเพียงแค่เรื่อง “เสียมารยาท” เท่านั้น
สัจธรรมแห่งอำนาจว่าด้วยสนิมเกิดแต่เนื้อในตน ยังคงเป็นจริงเสมอ นาทีนี้นอกเหนือจากการไปไล่กดดันและควบคุมฝ่ายเห็นต่างให้สยบยอมใต้อุ้งเท้าเผด็จการแล้ว เชื่อได้เลยว่าผู้มีอำนาจคงกำลังไล่สแกนพวกเดียวกันนี่แหละว่าใครเป็นหอกข้างแคร่ ทั้งๆ ที่ให้ใจและมีการมอบกำลังใจกลับคืนมา แต่นั่นมันก็เพียงแค่หน้าฉาก เพราะความจริงการแทงข้างหลังระหว่างคนกันเองยังคงดุเดือดเลือดพล่านตลอดเวลา