พาราสาวะถี
ตอกกลับทันทีทันใดต่อกรณีการส่งจดหมายแนะนำให้ปลด พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พ้นการร่วมรัฐบาลคสช.ของ ต่อตระกูล ยมนาค ประธานอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติด้านการป้องกันการทุจริต ในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติหรือคตช. โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มองว่าสิ่งที่ทำเป็นความวุ่นวาย ในความหมายก็คือ อย่ามา(เสือก)ยุ่ง ไม่ใช่กงการอะไรของคนที่เสนอ เพราะฉันมีอำนาจของฉันเอง ไม่ไล่ใครออก
อรชุน
ตอกกลับทันทีทันใดต่อกรณีการส่งจดหมายแนะนำให้ปลด พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พ้นการร่วมรัฐบาลคสช.ของ ต่อตระกูล ยมนาค ประธานอนุกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติด้านการป้องกันการทุจริต ในคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติหรือคตช. โดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มองว่าสิ่งที่ทำเป็นความวุ่นวาย ในความหมายก็คือ อย่ามา(เสือก)ยุ่ง ไม่ใช่กงการอะไรของคนที่เสนอ เพราะฉันมีอำนาจของฉันเอง ไม่ไล่ใครออก
ทั้งๆ ที่เมื่อมองไปยังสิ่งที่ต่อตระกูลซึ่งก็คือคนที่โบกมือดักกวักมือเรียกรัฐประหารและเป็นพวกไม่เอาระบอบทักษิณตัวยง เต็มไปด้วยความหวังดี หวังดีเพราะสิ่งที่เกิดจากการกระทำของพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์กระทบกับท่านผู้นำโดยตรง ดังนั้น จึงห่วงใย เพราะนานๆ ทีจะมีนายกฯที่เอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการคอร์รัปชันและมีอำนาจที่ทำได้ด้วย และยังเป็นนายกฯที่มีภาคเอกชนมาร่วมมือมากที่สุด
แต่เมื่อได้รับการปฏิเสธอย่างแข็งกร้าว ต่อตระกูลจึงบอกได้คำเดียวว่า “เสียดาย” เสียดายที่คนรอบข้างคงไม่ได้บอกบิ๊กตู่ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องซีเรียส สำคัญ และมันกระทบต่อตัวท่านผู้นำจริงๆ สำหรับตนไม่ได้เสียหายหรือเดือดร้อนอะไร มีแต่นายกฯเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบกับการปล่อยไว้ ส่วนการทำหน้าที่ในคตช.ซึ่งพลเอกประยุทธ์เป็นคนตั้งมานั้น ตนก็ไม่ลาออก จะอยู่ต่อเพื่อคอยบอกคอยเตือน สิ่งสำคัญที่ต่อตระกูลย้ำคือ “ผมมีสิทธิพูด”
ก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจกับบรรดาผู้ที่ได้รับตำแหน่งจากการแต่งตั้งของคณะเผด็จการคสช.เสียก่อนว่า ที่ต้องท่องจำไว้ให้ขึ้นใจคืออย่ามาอ้างเรื่องสิทธิ เสรีภาพ เพราะที่มาของตำแหน่งมันเป็นตัวบ่งชี้แล้วว่า ต้องตามใจฉัน มิเช่นนั้น คงไม่เกิดวลีทองลงเรือแป๊ะต้องตามใจแป๊ะ สิ่งสำคัญที่สะท้อนของความลืมและเป็นการยืนยันความหลงและเหลิงในอำนาจก็คือ การแสดงออกของผู้มีอำนาจ นั่นเอง
ครั้งหนึ่งเมื่อมีคนถามเรื่องสนช.ยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ไป 90 วัน ท่านผู้นำบอกว่าเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติไม่สามารถที่จะไปก้าวล่วง ชี้นำหรือออกใบสั่งได้ แต่ล่าสุด เมื่อมีคำถามเรื่องการคว่ำร่างกฎหมาย ท่านกลับตอบอย่างมั่นอกมั่นใจประมาณว่าสั่งสนช.ได้คือ ไม่มีการคว่ำร่างกฎหมายใดๆ อย่างแน่นอน
สรุปว่าเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวใช่หรือไม่ และเหตุใดจึงมั่นใจสุดๆ ว่าสนช.จะไม่คว่ำร่างกฎหมายเลือกตั้งส.ส.และร่างกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว. นี่แหละเป็นบทพิสูจน์ของการกระทำและคำพูดของคนที่ไม่ได้ยึดโยงหลักการอันหนักแน่น เพราะหากมีความมั่นคงทั้งในคำพูดและการกระทำแล้ว ไม่ว่าจะพูดกี่ครั้งกี่หนต้องเหมือนเดิม
น่าเห็นใจกับคนที่อยู่ในภาวะขาลง ไม่ว่าจะขยับเรื่องอะไรเป็นถูกเพ่งเล็ง จับผิดอยู่ตลอดเวลา จากที่ตั้งใจจะอารมณ์ดีก็มีเรื่องมากวนใจให้ขุ่นหมอง จนอดที่จะระเบิดเพื่อระบายความอัดอั้นอึดอัดไม่ได้ ส่วนคำถามเรื่องโรดแมปเลือกตั้ง คำตอบก็รู้กันอยู่แล้วเลื่อนล้านเปอร์เซ็นต์ ขณะที่เหตุผลของการเลื่อนก็แจ่มแจ้งเช่นเดียวกันว่า เลือกตั้งเร็วคณะสืบทอดอำนาจแพ้แน่นอน
เหตุผลรองลงมาคือ การระดมพลจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนคนชื่อประยุทธ์กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกกระทอก การตอกย้ำว่า สุเทพ เทือกสุบรรณ ตั้งพรรคชัวร์ๆ ของ วัชระ เพชรทอง คนที่รู้ไส้รู้พุงกันดี เป็นการการันตีทุกอย่างที่ดำเนินการ ตั้งแต่ไม่ยอมให้พรรคการเมืองทำกิจกรรม ใช้มาตรา 44 ออกคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 จนถึงการยืดเวลาใช้กฎหมายไป 90 วันก็เพื่อการนี้เท่านั้น
นี่คือความพลิกแพลง การสำแดงอิทธิฤทธิ์ของคณะเนติบริกรและกุนซือรอบด้านของคณะเผด็จการ ด้วยคาถาไม่แยแสกระแสต่อต้าน ไม่สนใจเสียงคัดค้าน และไม่แคร์สังคมโลกจะมองด้วยสายตาแบบไหน มิเช่นนั้น ท่านผู้นำคงไม่ออกปากเตือนอาจารย์ นักวิชาการเรื่องอยู่เบื้องหลังกลุ่มอยากเลือกตั้ง รวมไปถึงการขู่ใช้มาตรา 44 จัดการผู้ชุมนุม
เป็นธรรมชาติของอำนาจเผด็จการ และเป็นไปตามที่มีการคาดการณ์กันไว้ก่อนหน้า ช่วงท้ายของการอยู่ในอำนาจ เราจะได้เห็นการใช้ม.44ถี่ยิบ เพื่อความอยู่รอดของคณะเผด็จการ พอมองจากรูปการณ์เช่นนี้ นอกจากการเลือกตั้งจะไม่เกิดขึ้นในปีนี้ ปีหน้าก็อย่าหวังว่าจะได้เห็น เผลอๆ จะลากยาวกันไปอีกหลายปี ถ้าไม่มีเหตุเลือดตกยางออกเสียก่อน
ถามต่อว่าผู้มีอำนาจไม่กลัวจะกลายเป็นผู้นำมือเปื้อนเลือดหรืออย่างไร ตอบได้ว่าไม่ ดูได้จากบทเพลงล่าสุดที่ผ่านการแต่งของหัวหน้าเผด็จการที่ชื่อว่า “ใจเพชร” เป็นการบ่งบอกหรือส่งสัญญาณบางประการ แม้ว่าบทเพลงดังกล่าวจะมีคนไปกดดิสไลท์ในยูทูบมากกว่าแสดงความชื่นชม แต่อย่างที่บอก ทุกกระบวนท่าของคณะรัฐประหารที่ชื่อว่าคสช. ไม่เคยใส่ใจปฏิกิริยาเหล่านั้นอยู่แล้ว
ส่วนคำเตือนของบิ๊กตู่ไปยังครูบาอาจารย์ทั้งหลายนั้น ทางเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมืองหรือคนส.ได้ออกแถลงการณ์ชี้ให้เห็นว่าความกังวลของท่านผู้นำมีความคลาดเคลื่อน คำฝากดังกล่าววางอยู่บนความไม่เข้าใจในบทบาทหน้าที่ของนักวิชาการที่มีต่อทั้งนักศึกษาและสังคม การแสดงออกของนักศึกษาและประชาชนเป็นไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยและเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ
การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น มิได้เป็นการยึดหลักการต่างประเทศที่ไม่มีรากฐานทางการเมืองและกฎหมาย ความสูญเสียจะเกิดขึ้นก็แต่เฉพาะผู้มีอำนาจรัฐหรือคสช. ปฏิเสธว่าประเทศนี้ไม่ได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญเป็นเพียงกระดาษที่ไร้ความหมาย การที่นักวิชาการจำนวนหนึ่งสนับสนุนหรือออกมาเคลื่อนไหวร่วมกับนักศึกษาและประชาชนในการเรียกร้องความถูกต้องและประชาธิปไตยจึงเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีที่นักวิชาการมีต่อสังคม
บทสรุปของคนส.ที่ฝากกลับไปยังหัวหน้าคสช. น่าจะเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากให้ท่านผู้นำเข้าใจเช่นนั้นคือ ให้ทบทวนความเข้าใจที่ท่านมีต่อนักศึกษาและนักวิชาการเสียใหม่ เพื่อจะได้เข้าใจว่าสิ่งที่พวกเราดำเนินการมามิได้ผิดเพี้ยนไปจากปรัชญาและวัตถุประสงค์ของสถาบันอุดมศึกษาที่มีต่อสังคมแต่อย่างใด เพราะมหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหารและประเทศไทยไม่ใช่ค่ายกักกัน