พาราสาวะถี

ไม่รู้จะถือเป็น”สัญญา”ได้หรือเปล่า แต่เมื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยืนยันว่าจะมีการเลือกตั้งไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ปี 2562 ก็ถือเป็นความชัดเจนอีกคำรบ ดังนั้น จึงต้องลบเมมโมรี่ที่บันทึกเรื่องโรดแมปเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนปีนี้ทิ้งไปได้เลย แน่นอนว่า สิ่งที่จะตามมาคือ การชี้แจงให้ต่างประเทศเข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมถึงต้องเลื่อน และต้องดูปฏิกิริยาว่าแต่ละชาติแต่ละกลุ่มประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างไร


อรชุน

ไม่รู้จะถือเป็น”สัญญา”ได้หรือเปล่า แต่เมื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยืนยันว่าจะมีการเลือกตั้งไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ปี 2562 ก็ถือเป็นความชัดเจนอีกคำรบ ดังนั้น จึงต้องลบเมมโมรี่ที่บันทึกเรื่องโรดแมปเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนปีนี้ทิ้งไปได้เลย แน่นอนว่า สิ่งที่จะตามมาคือ การชี้แจงให้ต่างประเทศเข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมถึงต้องเลื่อน และต้องดูปฏิกิริยาว่าแต่ละชาติแต่ละกลุ่มประเทศเหล่านั้นเป็นอย่างไร

คงไม่มีอะไรซับซ้อน เมื่อสนช.มีมติเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ออกไป 90 วันหลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา รอเพียงแค่คำยืนยัน เมื่อท่านผู้นำประกาศเช่นนี้ ก็หมายความว่าร่างกฎหมายที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งทั้งร่างว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว.จะไม่ถูกคว่ำอย่างแน่นอน

ตามปฏิทินที่บิ๊กตู่กางออกมาคือประมาณเดือนมิถุนายนจะมีการเชิญพรรคการเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาประชุมร่วมกับคสช. เพื่อหารือว่าจะกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อใด และสอดรับกับสิ่งที่ท่านผู้นำประกาศ ทางสนช.ก็ยืนยันทันทีทันใดว่าคณะกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่ายได้พิจารณาร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ครบถ้วนทุกประเด็น รวมถึงร่างกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งส.ว.ด้วย พบว่าไม่มีปัญหา และจะนำเข้าสู่ที่ประชุมสนช.เพื่อลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ในวันที่ 8 มีนาคมนี้

เป็นเครื่องหมายว่า “แป๊ะ” ส่งสัญญาณความพร้อมเพื่อให้ปี่กลองแห่งการเลือกตั้งเริ่มบรรเลงได้แล้ว ต้องไม่ลืมว่าเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมาตามคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 53/2560 ผู้ที่ประสงค์จะตั้งพรรคการเมืองใหม่สามารถที่จะยื่นขอจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากกระบวนการขั้นตอนจะต้องเกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง จึงสามารถที่จะยื่นขอจากคสช.เพื่อพิจารณาอนุญาตให้ทำกิจกรรมได้

แม้จะมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นไปตามความจำเป็น แต่อย่างน้อยการได้แสดงตัว มีความเคลื่อนไหวก็จะเป็นการเปิดหน้าให้ประชาชนได้เห็นว่า แต่ละพรรคการเมืองเกิดใหม่นั้นมีใครอยู่หน้าฉาก มองเห็นใครอยู่เบื้องหลังกันบ้าง ที่แน่ๆ ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งพรรคการเมืองหรือมากไปกว่านั้นที่จะประกาศจุดยืนในการสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ให้กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกกระทอก ผ่านช่องทางนายกฯคนนอก

จะเห็นได้ว่าคนที่ถูกพูดถึงก็ไม่ได้แสดงการปฏิเสธ มีเพียงแค่บอกว่าทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ในเมื่อลงทุนร่างกติกาเปิดกว้างเสียขนาดนั้น จึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องกระมิดกระเมี้ยนกันอีกต่อไป เหลือเพียงแค่รอดูกันว่าจะมีพรรคการเมืองใดประกาศความชัดเจน รวมไปถึงจะมีนักการเมืองคนใดกล้าที่จะแสดงตัวว่าเป็นแนวร่วมกับคณะเผด็จการคสช.หรือไม่

ส่วนพรรคการเมืองเก่าทำได้แค่เฝ้ามองตาปริบๆ แม้ตามคำสั่งคสช.จะให้ทำกิจกรรมในเดือนเมษายนนี้ได้ แต่เป็นแค่การสำรวจสมาชิกพรรค นอกเหนือจากนั้นยังห้ามทำ จุดนี้แหละที่บรรดานักการเมืองรุ่นลายครามต่างพากันออกมาโวยวายก่อนหน้านั้น แต่ทำไงได้ในเมื่อผู้มีอำนาจเขาพอใจจะทำอย่างไร แบบไหน ใครจะกล้าหือ

ที่บอกว่าเปิดทางให้พรรคใหม่ได้เปรียบพรรคเก่าทุกประตู ก็ไม่มีเหตุที่จะต้องสงสัยอะไรมิใช่หรือ ในเมื่อสูตรสำเร็จและเป็นอมตะนิรันดร์กาลคือ ชนชั้นใดร่างกฎหมายย่อมเป็นไปเพื่อชนชั้นนั้น เมื่อลงทุนยึดอำนาจและดำเนินการทุกอย่างเพื่อหวังสืบทอดอำนาจ โดยมีร่างทรงเพื่อสร้างความชอบธรรมที่เป็นพรรคการเมืองเกิดใหม่ แล้วทำไมจึงจะไม่อำนวยความสะดวกหรือให้ความช่วยเหลือทุกช่องทาง

สำหรับการหาเสียงก็เดินหน้ากันมาโดยตลอดอยู่แล้ว ผ่านการลงพื้นที่และการทัวร์นกขมิ้นที่เรียกว่าประชุมครม.สัญจรนั่นไง สิ่งที่ท่านผู้นำไปเที่ยวโพนทะนาอยากเลือกนักการเมืองแบบนั้น พรรคการเมืองแบบนี้ ที่คนส่วนใหญ่เฝ้าติดตามจะขาดก็เพียงแต่ท่านจะแนะนำให้เลือกใคร หลังเดือนมีนาคมนี้ไปแล้ว คงจะเห็นภาพเด่นชัดขึ้นว่า พรรคไหนคือนอมินีตัวจริงเสียงจริง

เมื่อถึงเวลานั้นก็จะได้ประกาศเต็มปากเต็มคำว่า ได้เกิดพรรคทางเลือกใหม่มาแล้ว จึงถือเป็นทางเลือกที่พี่น้องประชาชนควรให้โอกาส โดยที่ไม่ต้องชี้นิ้วไปบอกให้เสียรังวัดความเป็นกรรมการที่ต้องวางตัวเป็นกลาง แต่แค่ท่านผู้นำส่งซิกบวกเข้ากับการแสดงตัวว่าเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในการอุ้มท่านผู้นำคนเดิมกลับสู่อำนาจ ประชาชนที่หลงเหลี่ยมประชารัฐรู้แล้วว่าควรเลือกใคร

แต่มิติทางการเมืองไม่ได้หมายความว่ามีอำนาจแล้วจะจัดการได้ทุกอย่าง มันต้องดูสถานการณ์จากนี้ไปอีก 1 ปีข้างหน้า ถ้าโชคชะตาเข้าข้างโครงการที่ได้ดำเนินไปประสบความสำเร็จ เศรษฐกิจพลิกฟื้น ประชาชนอยู่ดีกินดี คณะเผด็จการก็ตีปีกตีขิมรออยู่ต่อไปยาวๆ ได้ทันที ทว่าสถานการณ์เป็นในทางตรงข้าม ก็ต้องตั้งการ์ดคอยรับว่าจะมีแรงกระแทก เกิดแรงกระเพื่อมอะไรตามมาหรือไม่

หลังจากได้ความชัดเจนเรื่องวันเลือกตั้งเช่นนี้ ประเด็นที่ถกเถียงกันอีกประการเรื่องกกต.ทั้ง 7 คน หลังจากที่ประชุมสนช.คว่ำรายชื่อว่าที่ทั้ง 7 ราย คงไม่ต้องประเมินกันอีกต่อไปแล้วว่า กระบวนการสรรหานับจากนี้จะต้องทันต่อการเลือกตั้งหรือไม่ เวลาที่ทอดยาวออกไปเรียกได้ว่าเหลือเฟือสำหรับการดำเนินการของทุกกระบวนการที่เกี่ยวข้อง

คำถามที่จะตามมาคงเหลือแค่แล้วจะมีคนมาสมัครกันหรือไม่ เนื่องจาก “คุณสมบัติขั้นเทพ” เป็นสิ่งที่ผู้คิดจะไปยื่นใบสมัครต้องคิดกันหนัก ทั้งประเด็นจะเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนดหรือเมื่อเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แล้ว จะได้คุ้มเสียหรือไม่ เพราะผลการปฏิบัติงานของ 5 เสือกกต.ปัจจุบันที่จะทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์นั้น เมื่อหยั่งเสียงดูแล้วประชาชนส่ายหน้ามากกว่าจะให้การยอมรับ

ดังนั้น 7 เสือกกต.ชุดใหม่จึงเป็นที่คาดหวังจากสังคมว่าจะเข้ามาทำให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ราบรื่น และโปร่งใส แต่ด้วยความที่สถานการณ์บ้านเมืองถูกปกครองด้วยอำนาจพิเศษ กระบวนการตรวจสอบมืดบอด คนที่จะได้รับเลือกย่อมถูกมองอย่างมีตำหนิ หากการปฏิบัติหน้าที่มีปัญหาแค่นิดเดียว ก็อาจจะสร้างแรงกดดันต่อองค์กรมหาศาล ต้องไม่ลืมว่า ถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเวลานี้เบาใจได้เพราะจะมีกฎหมายหรือมาตราวิเศษคุ้มกะลาหัว แต่ในวันที่บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยใครที่คิดไม่ซื่อหรือมีเบื้องหลัง ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

Back to top button