สังคมข่าวหุ้น
ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,813.40 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.50 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 7.8 หมื่นล้านบาท
นิวส์เวฟ
* ตลาดหุ้นไทยล่าสุดปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,813.40 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 3.50 จุด พ่วงด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 7.8 หมื่นล้านบาท
* เริ่มกันด้วยหุ้นแรกวันนี้ขอให้น้ำหนักมาที่ตัว TOA กันหน่อย เพราะขณะนี้ถือเป็นหุ้นที่กลับมาอยู่ในจุดน่าสนใจอีกครั้ง โดยในระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากแนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาสแรกที่มีโอกาสเติบโตได้ดี หลังจากทางบริษัทรับผลบวกไปถึง 2 ประเด็น 1.ปรับขึ้นราคาขายสินค้าตั้งแต่ช่วงเดือนม.ค. 2.กำลังซื้อที่กลับมาฟื้นตัวขึ้นชัดเจน ส่วนในระยะยาวน่าจับตาถึงความเคลื่อนไหวแผนลงทุนก่อสร้างโรงงานในต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งในอินโดนีเซีย-เมียนมา-กัมพูชา โดยตามแผนที่อินโดนีเซียกับเมียนมา จะเปิดดำเนินการในช่วงครึ่งหลังปี 61 จึงยิ่งส่งผลดีให้บริษัทมีศักยภาพสร้างรายได้ในตลาดต่างประเทศยิ่งขึ้น ขณะที่โบรกฯเองคาดการณ์งบปี 61 จะมีกำไรโตทะลุ 2,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 40% เลยทีเดียว ให้ราคาเป้าหมาย 40 บาท
* เมื่อวานกลุ่มหุ้นทีวีดิจิทัลพาเหรดวิ่งบวกถ้วนหน้าหลายตัว หลังจากภาพรวมตลาดมีมุมมองบวกและมองไปถึงโอกาสการคืนไลเซนส์ (เริ่มมีความเป็นไปได้มากขึ้น) ดังนั้น จึงกลายเป็นปัจจัยบวกหนุนราคาหุ้น BEC และ MCOT ให้ปรับเพิ่มขึ้นแรงเป็นพิเศษ โดยฝั่ง BEC ปิดบวก 13.80 บาท เพิ่มขึ้นไปกว่า 4.5% ส่วน MCOT ปิดบวก 11 บาท เพิ่มขึ้นไป 6.8%
* สาเหตุที่ 2 หุ้นนี้บวกแรง เพราะเรื่องคืนไลเซนส์ถือว่ามีความสำคัญต่อหุ้น BEC และ MCOT อย่างมาก เนื่องจากในปัจจุบันทั้ง 2 เจ้า ต้องแบกต้นทุนดำเนินงานมหาศาลเพราะมีหลายช่องในมือ ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ผู้บริโภคยังไงก็รับชมที่ช่องหลัก คือ ช่อง 3 HD และ MCOT HD อยู่ดี จึงเป็นไปได้สูงที่ BEC และ MCOT จะคืนไลเซนส์ช่องรอง (หากทำได้) ที่สร้างรายได้น้อยเพื่อลดต้นทุนดำเนินงาน โดยมีกระแสคาดกันว่าทาง BEC น่าจะคืนช่อง 3 แฟมิลี-ช่อง 3 SD ส่วน MCOT จะคืน MCOT แฟมิลี จากนั้นทั้งคู่จะเลือกเก็บช่องหลักไว้ดำเนินธุรกิจต่อไป จึงถือเป็นประเด็นร้อนๆ ที่ต้องจับตาดูและห้ามพลาด
* ส่วนหุ้น WORK-MONO-RS หลายคนสงสัยว่า ทั้งสองช่องนี้เรตติ้งออกจะดี ไม่มีทางคืนไลเซนส์แน่ แล้วทำไมราคาหุ้นถึงไปวิ่งบวกกับเขาขนาดนั้น สาเหตุหลักมาจาก เมื่อผู้ประกอบการหลายเจ้าคืนไลเซนส์ จะทำให้การแข่งขันในตลาดลดความรุนแรงลงไปมาก และคาดกันว่าเม็ดเงินโฆษณาที่เคยกระจายหลายแห่ง จะไหลกลับมารวมที่กลุ่มหัวแถวยิ่งขึ้น ซึ่งช่อง WORK-MONO-RS ในปัจจุบันถือเป็นกลุ่มติดท็อป 5 กันอยู่แล้ว ก็เลยได้รับแรงเก็งกำไรนั่นเอง
* ในที่สุดหุ้น TTCL ก็ตัดสินใจใช้ทางเลือกสุดท้าย นั่นคือ ยอมประกาศออกหุ้นเพิ่มทุน 336 ล้านหุ้น จำนวน 168 ล้านหุ้น จะขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) อีกจำนวน 56 ล้านหุ้น จัดสรรแบบบุคคลในวงจำกัด (PP) และปิดท้ายด้วย 112 ล้านหุ้นเพื่อรองรับใช้สิทธิแปลงสภาพของ TTCL-W1 * จึงชัดเจนแล้วว่าในที่สุด TTCL มาถึงจุดต้องระดมเงินทุนเข้ามาเสริมทัพ และยังมีแผนส่งบริษัทย่อยขาย IPO จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (เบื้องต้นใช้ชื่อเรียก HoldCo) เพื่อเพิ่มช่องทางระดมทุนอีกทาง ซึ่งเป้าหมายสำคัญเพื่อซัพพอร์ตธุรกิจโรงไฟฟ้านั่นเอง
* ว่ากันตามตรง จริงๆ แล้วเรื่องออกหุ้นเพิ่มทุนไม่ใช่สิ่งที่เป็นเรื่องเลวร้ายเสมอไป และเชื่อได้ว่าถ้าเพิ่มทุนแล้วบริษัทสร้างการเติบโตในอนาคตได้มหาศาล ใครๆ ก็ยอมรับข้อเสนอนี้ได้ แต่ที่ผ่านมาหุ้น TTCL อยู่ในอาการ “เป๋-รวน-ผันผวน” ไม่หยุด เพราะทุกอย่างยังดูอึมครึมไม่มีอะไรชัดนั่นแหละ จากนี้ไปก็คงขึ้นอยู่กับการสื่อสารของบริษัทแล้วล่ะ ถ้าอธิบายถึงความจำเป็นและโอกาสที่บริษัทจะได้รับในอนาคตชัดเจน หุ้น TTCL ก็คงกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้เสียที
* ปิดท้ายด้วยหุ้น TTA สถานการณ์ธุรกิจกลับมาสดใสมากขึ้น หลังจากได้รับผลบวกจากอุตสาหกรรมเดินเรือที่กลับมาฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก ล่าสุดประกาศเสนอขายหุ้นกู้อายุ 3 ปี ดอกเบี้ยคงที่ 4.5% ต่อปี ภายใต้อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ที่ระดับ BBB มีกำหนดเปิดจองซื้อในช่วงวันที่ 20-22 มี.ค. 2561 ให้แก่ผู้ลงทุนสถาบันหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ งานนี้ถ้า TTA ขายหุ้นกู้ได้สำเร็จจริงจะเท่ากับได้เม็ดเงินทุนใหม่มาเสริมแกร่งอีกเพียบทีเดียว