SAWAD-BEAUTY ขายเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน

1 เดือนที่ผ่านมามีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหาร 2 บริษัทจดทะเบียน ทำการขายหุ้นออกจากมือเช่นเดียวกัน และด้วยเหตุผลสำเร็จรูปทำนองเดียวกัน แต่รายละเอียดและเป้าหมายของการขายโดยพฤตินัยต่างกัน


แฉทุกวันทันเกมทุน

1 เดือนที่ผ่านมามีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหาร 2 บริษัทจดทะเบียน ทำการขายหุ้นออกจากมือเช่นเดียวกัน และด้วยเหตุผลสำเร็จรูปทำนองเดียวกัน แต่รายละเอียดและเป้าหมายของการขายโดยพฤตินัยต่างกัน

รายแรก เป็นสองพ่อลูกตระกูลแก้วบุตตา ขายหุ้นที่ถือใน บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ให้สถาบันการเงินต่างประเทศ

รวมแล้วขายไป 54.998.44 ล้านหุ้น หรือ 5% 

รายหลังตระกูลไกรภูเบศ ขายหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY จำนวนรวมกัน 140,000,000 หุ้น คิดเป็น 4.66% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว

รายละเอียดของรายการแรก ระบุว่า นางสาวธิดา แก้วบุตตา ที่เคยถือหุ้น ใน SAWAD รวม 369,905,812 หุ้น คิดเป็น 34.02% จะถือหุ้นลดลงเหลือ 342,721,812 หุ้น คิดเป็น 31.52% ส่วนนายฉัตรชัย แก้วบุตตา ที่เคยถือหุ้นจาก 65,239,200 หุ้น คิดเป็น 6% เหลือ 38,054,756 หุ้น คิดเป็น 3.50%  ที่ราคาเฉลี่ย 63.75 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่ากระดานซื้อขายในวันที่แจ้ง

การขายครั้งนี้ของตระกูลแก้วบุตตา เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนฐานะจากบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ (1979) จำกัด (มหาชน) มาเป็นดั่งปัจจุบันเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา

เรียบร้อยโรงเรียน แก้วบุตตา…..หอบเงินสดเข้ากระเป๋าเหนาะๆ 1.73 พันล้านบาท

การขายหุ้นนี้ 2 พ่อ-ลูกแจ้งว่า “..การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและโครงสร้างการบริหารงานของบริษัท …” ซึ่งก็คงไม่มีความหมายอะไร เพราะในภาพรวมแล้วตระกูลนี้ยังคงถือหุ้นรวมกัน (สมมติว่าไม่มีในนามนอมินีแบบอำพราง) มากเกินกว่า 51%

กงสีแข็งแกร่งไม่มีแตกแถว ขายหุ้นสูงกว่ากระดาน โครงสร้างผู้ถือหุ้นและการบริหารยังคงเดิม ไม่มีวี่แววว่าจะขายเพราะทิ้งกิจการในลักษณะ “ตีหัวเข้าบ้าน” แต่อย่างใด….ปลอดพ้นจากปัญหาใดๆ ให้ตนเองถูกติฉินนินทา

คนจะรวย แต่รวยอย่างสง่างาม …มีแต่คนก้มหัวให้ หากปราศจากอคติ

ในอดีตแม้ว่าตระกูลนี้โดยเฉพาะสาวโสด 2 หมื่นล้าน นางสาวธิดา หรือ หนูนาย จะขายหุ้นออกมาหลายครั้ง โดยเฉพาะเมื่อปี 2559 ขายไปถึง 2 ครั้งใหญ่ โดยครั้งแรก ขายเมื่อต้นปี จำนวนทั้งสิ้น 35 ล้านหุ้นหรือ 3.50% ในราคาหุ้นละ 30 บาท ฟาดเงินเข้ากระเป๋าไปช้อปปิ้ง 1,050 ล้านบาท ให้กับ Wasatch Advisors กองทุนเปิดสัญชาติอเมริกัน ส่วนครั้งหลังเมื่อปลายปี ก็ขายอีก 50 ล้านหุ้น ที่ราคา 46.25 บาท/หุ้น ได้เงินสดไปอีกประมาณ 2.31 พันล้านบาท

ขณะที่ปี 2559 เช่นกัน นางสาวธิดาก็ทยอยซื้อหุ้นเข้าพอร์ตอีก 5 ครั้ง ในราคาเฉลี่ยระหว่าง 34.00-40.50 บาท ประมาณ 2.5 ล้านหุ้น….แถมยังประกาศอีกว่า ภายใน 1 ปีข้างหน้าจะไม่ขายหุ้นออกมาอีก…แล้วก็เป็นตามนั้น เพราะตลอดทั้งปี 2560 ไม่มีคนในตระกูลแก้วบุตตา แจ้งข่าวขายหุ้นออกมาเลย…รักษาคำมั่นสัญญาเหนียวแน่น

ส่วนกรณี BEAUTY นั้น มีการแจ้งตลาดฯว่า เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2561 หมอสุวิน ไกรภูเบศ และนางธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ ได้ขายหุ้นในจำนวนรวมกัน 140,000,000 หุ้น คิดเป็น 4.66% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว นักลงทุนสถาบันในประเทศและจากต่างประเทศรวมถึงนักลงทุนบุคคลรายใหญ่ โดยเป็นการขายให้แก่ผู้ลงทุนในวงจำกัดแบบข้ามคืน ที่ราคา 18.80 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาต่ำกว่าตลาดในวันขาย (โดยอ้างว่าเป็นวิธีการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (bookbuilding) กับผู้ลงทุนประเภทสถาบัน) คิดเป็นมูลค่า 2,632 ล้านบาท

หลังการขายครั้งนี้ ตระกูลไกรภูเบศ จะมีสัดส่วนการถือหุ้นรวมแล้วเหลือแค่ 21.23% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัทฯ จากเดิมที่ถืออยู่ 25.89%

เบื้องต้นเหตุผลในการขายครั้งนี้ไม่ได้ระบุเอาไว้ แต่อ้างถึง 2 เรื่องคือ 1) หมอสุวินและภริยา จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นผู้มีอำนาจควบคุมของบริษัทฯ ต่อไป 2) โครงสร้างการบริหารจัดการไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ต่อมาหมอสุวิน ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า การขายหุ้นจน “ปริ่มน้ำ” (เกือบจะหลุดจากการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เฉียดฉิว) คราวนี้ เกิดจาก ได้รับการติดต่อจากนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่แสดงความต้องการลงทุนระยะยาวในหุ้นของบริษัทอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีความเชื่อมั่นต่อการบริหารจัดการที่ดี แผนการดำเนินงานและแนวโน้มการเติบโตในอนาคต

บังเอิ๊ญ…บังเอิญ มีคนเกิดความจำยาวกว่าปกติ นึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ขายหุ้นครั้งใหญ่จำนวน 300 ล้านหุ้น คิดเป็น 10% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว เมื่อปี 2559 ….หมอสุวิน ก็เคยให้สัมภาษณ์ชัดแจ๋วว่า จะไม่มีการขายหุ้น BEAUTY ออกมาอีก เนื่องจากสัดส่วนการถือหุ้นที่ 25.94% มีความเหมาะสม และจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ต่อไป และไม่มีผลให้โครงสร้างการบริหารเปลี่ยนแปลง

แล้วหากย้อนรอยไปตรวจสอบการซื้อขายของตระกูลไกรภูเบศ พบว่า มีการ “รินขาย” และ “เทขาย” หุ้น BEAUTY หลายระลอก โดยระหว่างปี…จากการสำรวจข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ย้อนหลัง ปี 2553-2506 พบว่าสุวินและภริยา ขายหุ้น BEAUTY รวมกันทั้งหมด 4 ครั้ง จำนวนหุ้นรวม 342.75 ล้านหุ้น (รวมทั้งที่ยังไม่แตกพาร์ และหลังแตกพาร์) คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,984.61 ล้านบาท…หากรวมบิ๊กล็อตล่าสุดวานซืนนี้อีก เท่ากับได้ขายหุ้น BEAUTY รวมทั้งสิ้นจำนวน 482.75 ล้านหุ้น และได้เงินเข้ากระเป๋ารวมทั้งหมดจำนวน 6,616.61 ล้านบาท

พาดหัวข่าว “หมอสุวิน พลิกลิ้น!”….จึงเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

หมอสุวิน จึงโร่ออกมาแก้ต่างทันควันว่า ที่บอกว่าจะไม่ขายอีก….สื่อเข้าใจไปเอง

ความจริงแล้วพี่หมอที่แสนดี เพียงแค่บอกว่าตอนที่ถูกนักข่าวตั้งคำถามในยามนั้น….ยังไม่ได้คิดจะขายอีก…แต่ไม่ใช่คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ขายอีก

อะแฮ่ม….หมอสุวิน เปลี่ยนอาชีพขายผลิตภัณฑ์เวชภัณฑ์เพื่อความงาม ไปเลี้ยงแกะตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย..!??.

คำถามนี้ ยังไม่รวมกับคำถามเพิ่มเติมว่า หมอสุวิน กับภริยา จะไม่ทิ้งบริษัทจริงหรือ เพราะ..หากต้องการจะกลับมาถือหุ้นเกิน 25% อีกเมื่อใด หมอและภริยาจะต้องหาเงินก้อนมาทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์ระลอกใหญ่เชียวนะ…จะบอกให้

….อิ..อิ..อิ…

 

Back to top button