ขุดผีสรรพสามิตมือถือ

มันเป็นเรื่องเก่าตั้งแต่ “บิ๊กบัง” ปฏิวัติปี 2549 แล้วล่ะ ที่ทักษิณ ชินวัตร แปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์ทั้งมือถือและพื้นฐานมาเป็นภาษีสรรพสามิต


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงค์

มันเป็นเรื่องเก่าตั้งแต่ “บิ๊กบัง” ปฏิวัติปี 2549 แล้วล่ะ ที่ทักษิณ ชินวัตร แปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์ทั้งมือถือและพื้นฐานมาเป็นภาษีสรรพสามิต

ภาษีสรรพสามิตมือถือเก็บ 10% ภาษีโทรศัพท์บ้านเก็บ 2% ของรายได้

ในระบบสัมปทานเดิม TOT และ CAT ในฐานะเจ้าของสัมปทานมือถือ จะรับส่วนแบ่งรายได้ในอัตราประมาณ 22-25% ทั้งก้อน ส่วนจะนำส่งเข้ารัฐเท่าใดก็แล้วแต่ความจำเป็นและรายจ่ายต่างๆ ของรัฐวิสาหกิจนั้น

แต่พอมี พ.ร.ก.ภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคม รายได้ 10% นั้น ก็หักส่งคลังไปก่อนเลย ส่วนที่เหลือจึงเข้าไปเป็นเจ้าของสัมปทาน

เงินส่วนแบ่งจากเอกชนก็ยังเป็นจำนวนเงินก้อนเดิมนั่นแหละ เพียงแต่รัฐมีรายได้ที่แน่นอนกว่าจากการหักส่งเข้าคลังก่อน 10%

คำว่าผลประโยชน์รัฐเสียหาย ก็ต้องแยกคำว่ารัฐให้ออกเหมือนกันว่า เป็นผลประโยชน์หน่วยงานรัฐ หรือผลประโยชน์ที่ฐานะการเงินการคลังของประเทศ

ซึ่งก็แน่นอนว่าผู้ได้ผลประโยชน์เต็มจากระบบภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมก็คือกระทรวงการคลัง แต่ผู้เสียผลประโยชน์ก็คือหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่ง

ส่วนผลประโยชน์เอกชนนั้นยังคงมีอยู่เท่าเดิม ตามส่วนแบ่งรายได้สัมปทานเดิม

การปรับระบบจัดเก็บรายได้เช่นนี้ อาจจะมองว่าเป็นการบริหาร ปรับปรุงระบบจัดเก็บรายได้ของรัฐให้มากขึ้นก็ได้ เพื่อเป็นการเตรียมการเข้าสู่ยุคเสรีโทรคมนาคม ซึ่งตอนนั้นระบบสัมปทานเสือนอนกินจะต้องสูญสลายไปแล้ว

ผลประโยชน์รัฐก็จะมีแค่ค่าไลเซนส์หรือใบอนุญาตเท่านั้น

หรืออาจจะมองแง่ร้ายว่าเป็นการทำลายล้างคู่แข่งทางธุรกิจ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ เนื่องจากอดีตนายกฯมีบริษัทธุรกิจโทรคมนาคมอยู่ด้วยก็ได้

แต่ก็นั่นแหละ ได้มีการฟ้องร้องคดีนี้มาตั้งแต่ปี 2561 โดยเริ่มต้นจากคณะกรรมการ คตส. ที่คณะปฏิวัติตั้งขึ้น และมีคุณหญิงเป็ด จารุวรรณ อดีตผู้ว่าการ สตง. เป็นแกนนำสำคัญคนหนึ่ง

คุณหญิงเป็ดตอนนี้ก็ตกเป็นผู้กระทำผิดคดีสัมมนาบังหน้างานทอดกฐินเพื่อให้ผู้ไปร่วมงานเบิกค่าใช้จ่ายได้ ศาลชั้นต้นสั่งจำคุก ไม่รอลงอาญา ศาลอุทธรณ์ยื่นรอฎีกา

จำเลยร่วมคดีนี้ คือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.ไอซีที ถูกศาลฎีกาฯตัดสินจำคุกไปแล้ว ส่วนทักษิณศาลฯสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบชั่วคราว เนื่องจากยังไม่ได้ตัวจำเลยมาศาล

แต่ สนช. หรือสภานิติบัญญัติฯยุคนี้ได้ทำการแก้กฎหมายเป็นการเฉพาะสำหรับทักษิณให้สามารถพิจารณาคดีลับหลังจำเลย หรือพิจารณาคดีโดยไม่ต้องมีตัวจำเลยมาศาลได้

ชะตากรรมทักษิณก็ไม่น่าจะแตกต่างไปจากหมอเลี้ยบ

เพียงแต่จะได้ตัวทักษิณมารับโทษในประเทศไทยได้หรือไม่เท่านั้น และก็คงจะเป็นเหมือนคดีอื่นๆ ของทักษิณที่ผ่านมา ซึ่งไม่สามารถจะส่งตัวทักษิณกลับมาได้

เหตุปัจจัยก็เป็นเพราะ หนึ่ง.ระบบยุติธรรมที่แตกต่างกัน สอง.ความผิดในคดีไม่เหมือนกัน และสาม.เข้าข่ายว่าทักษิณเป็นผู้ต้องหาทางการเมือง ซึ่งก็เป็นคดีแล้วคดีเล่า

ครั้งนี้ คำฟ้องของอัยการต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ระบุความเสียหายของรัฐจากการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต คิดเป็นตัวเงิน 6.6 หมื่นล้านบาท

ความเสียหายเกิดขึ้นมาได้ยังไง ในเมื่อตัวเงินที่เคยได้ในระบบสัมปทานแบ่งรายได้ ไม่ได้สูญหายไปเข้ากระเป๋าเอกชนที่ไหนเลย เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม จะต้องชี้แจงสาธารณชนให้เข้าใจได้

นอกจากคดีแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตแล้ว ยังมีคดีรอคิวพิจารณาลับหลังทักษิณอีก 3 คดี ได้แก่ คดีทุจริตปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย คดีทุจริตปล่อยกู้เอ็กซิม แบงก์ และคดีหวยบนดิน

ผลทางคดีก็คงเป็นแบบเดิมๆ และทักษิณก็ยังคงเฉิดฉายในต่างประเทศได้เช่นเดิมๆ

Back to top button