พาราสาวะถี

กลายเป็นเอกสารร้อนที่ถูกพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง “ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่” ลงนามโดย สุชัย บุตรสาระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561 ก่อนจะมีหนังสืออีกฉบับปรับแก้ข้อความเป็น “ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความรู้ความเท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง” นี่คือหนังสือนัดหมายหน่วยราชการในจังหวัดมาหารือเพื่อเตรียมต้อนรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวาระจะเดินทางมาที่ขอนแก่น


อรชุน

กลายเป็นเอกสารร้อนที่ถูกพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง “ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่” ลงนามโดย สุชัย บุตรสาระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2561 ก่อนจะมีหนังสืออีกฉบับปรับแก้ข้อความเป็น “ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความรู้ความเท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง” นี่คือหนังสือนัดหมายหน่วยราชการในจังหวัดมาหารือเพื่อเตรียมต้อนรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวาระจะเดินทางมาที่ขอนแก่น

พลันที่มีการเผยแพร่ออกไป มีการออกมาขอโทษประชาชนไล่ตั้งแต่ระดับมท.1 พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่อ้างว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เป็นการทำเอกสารราชการที่ใช้ข้อความไม่เหมาะสม ซึ่งปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงแล้ว และอยู่ระหว่างการรอผลการสอบสวน ก่อนจะตบท้ายตามฟอร์ม ขอให้ปลัดมหาดไทยกำชับหน่วยงานต่างๆให้ทำงานรอบคอบมากขึ้น เนื่องจากเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าความผิดพลาดด้านเอกสารเกิดขึ้นบ่อย

ถือเป็นวิธีการและกระบวนการปฏิบัติแทบจะทุกครั้งที่มีปัญหาเกิดขึ้นกับข้าราชการและหน่วยงานภายใต้การบริหารของรัฐบาลคสช. หากแต่เมื่อมีคำขอโทษออกมาแล้ว ประชาชนจะรับได้หรือไม่ คนขอนแก่นจะรู้สึกอย่างไรนั่นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากรู้คือ ทัศนคติของผู้บริหารตั้งแต่ผู้มีอำนาจสูงสุดจนถึงผู้บริหารระดับท้องถิ่น คิดและรู้สึกอย่างไรกับประชาชน

จากหนังสือฉบับดังกล่าวก็พอจะเข้าใจได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้มีอำนาจมีความรู้สึกเช่นนั้นกับประชาชน หากแต่อาจจะเป็นบุคคลระดับปฏิบัติการณ์ที่ต้องการจะสอพลอเพื่อทำให้ผู้มีอำนาจเห็นว่า ทัศนคติในการทำงานของตัวเองนั้นเป็นพวกเดียวกับคณะเผด็จการ ในแง่ของการเห็นว่าคนในภาคเหนือและอีสานนั้น ยังโง่ดักดานชื่นชอบระบอบทักษิณอยู่ได้

ความจริงมันต้องเป็นเช่นนั้นแน่ เพราะยังมองไม่เห็นเหตุผลใดที่จะไปบอกได้ว่า คนทั้งประเทศหรือเอาเฉพาะแค่ที่จังหวัดขอนแก่นโง่อย่างไรถึงจะต้องรอให้ฝ่ายรัฐหรือข้าราชการมาจูงจมูก ทำให้ฉลาดขึ้น นอกเหนือจากจะตีความหมายว่า พวกที่ยังชื่นชอบอดีตรัฐบาล ชื่นชม ทักษิณ ชินวัตร เป็นพวกโง่และสมควรได้รับการปรับทัศนคติ

หากใช้ตัวชี้วัดเท่านี้ ก็คงไม่ต้องบอกว่าคนที่ทำเรื่องนี้เป็นคนประเภทไหน ก็ไม่ต่างจากพวกม็อบนกหวีดหรือด็อกเตอร์ด็อกแต๋วบางรายที่ปราศรัยบนเวทีว่า เสียงของคนต่างจังหวัดไม่มีคุณภาพเท่าเสียงของคนกรุงเทพฯ ถ้าท่านผู้นำเห็นดีเห็นงามตามนี้ ก็เกรงว่า การปฏิรูปประเทศที่จะวางรากฐานกันไปยาวนานถึง 20 ปีนั้นหน้าตามันจะออกมาอย่างไร

ความโง่หรือฉลาดของคน หากใช้ค่าวัดที่การอ่านออกเขียนได้ การเป็นด็อกเตอร์ มียศมีตำแหน่ง ตรงนี้ก็พอจะอธิบายได้ แต่หากจะวัดจากความเป็นมนุษย์แค่นั้นมันเป็นเพียงเศษเสี้ยวของสิ่งที่พึงมีเท่านั้น เพราะการที่จะทำให้เป็นคนเหนือคนได้ นอกจากความฉลาดทางสติปัญญาแล้ว ยังต้องมีเรื่องของศีลธรรม จรรยา และการให้เกียรติคนด้วย หากมีแค่ไอคิวดีแต่อีคิวแย่ หรือพูดง่ายๆ ว่าไร้ความคิดในทางบวก มันก็เป็นได้แค่คนที่มีหัวโขนคอยกดขี่คนที่ด้อยกว่า แต่หาได้รับการยอมรับ ยกย่องจากคนส่วนใหญ่ไม่

จะว่าไปแล้วก็มีหลายคนเริ่มพูดถึง ถ้าเทียบกันระหว่างประชาชนที่โง่แต่เป็นคนดี ทำมาหากินทุจริต กับข้าราชการที่ยกหางตัวเองว่าเป็นผู้ฉลาดล้ำกว่าใคร แต่ขี้ฉ้อ ทุจริตอยู่เป็นนิจ อย่างไหนที่ควรจะต้องถูกกำจัดให้พ้นไปจากแผ่นดิน ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ควรกำจัดออกไปให้พ้นการถ่วงความเจริญของประเทศก็คือ ราชการโง่ ที่ยังมีอยู่ไม่น้อยในระบบนั่นต่างหาก

ปมเรื่องการทุจริต เอาแค่ที่เป็นข่าวเวลานี้ทั้งเรื่องของการโกงเงินช่วยเหลือคนยากจนคนไร้ที่พึ่งของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐหรือป.ป.ท. ตรวจสอบแล้วพบว่ามีความผิดปกติถึงเกือบ 50 จังหวัด และมีการเบิกจ่ายงบประมาณที่ผิดปกติถึงกว่าร้อยละ 85 หรือกรณีการทุจริตกองทุนเสมาพัฒนาชีวิต ของกระทรวงศึกษาธิการ ตรงนี้ถามว่า เป็นฝีมือของประชาชนโง่หรือข้าราชการขี้ฉ้อกันแน่

ตามที่ อุเทน ชาติภิญโญ หัวหน้าพรรคคนไทย ระบุ ข่าวฉาวโฉ่เรื่องการทุจริตในขณะนี้เป็นการสะท้อนว่า รากเหง้าของการทุจริตในภาครัฐนั้นคือข้าราชการ หาใช่นักการเมืองอย่างที่ท่านผู้นำกล่าวหามาโดยตลอด ยิ่งติดตามข่าวก็ยิ่งสงสารประชาชนและประเทศชาติ ที่ข้าราชการ ข้าของแผ่นดิน รวมหัวกันหาประโยชน์โดยมิชอบแต่กลับรอดพ้นการตรวจสอบอย่างจริงจังมาโดยตลอด

มีเพียงวาทกรรมของเหล่าคนดีทั้งหลายเท่านั้นที่สร้างเกราะป้องกันให้ตัวเอง จึงอยากตะโกนฝากไปถึง ท่านผู้นำว่า ในช่วงท้ายของการทำหน้าที่นายกฯที่มาจากคณะรัฐประหารซึ่งมีอำนาจล้นมือ ต้องมีความกล้าในการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง อย่าเพียงสร้างวาทกรรมสวยหรู แต่กลับพบการกระทำที่ลูบหน้าปะจมูกเช่นที่ผ่านมา ซึ่งสุดท้ายมักหาคนทำผิดมารับโทษไม่ได้

ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เราจะได้เห็นตัวเลขการทุจริตในแง่ของกระบวนการตรวจสอบนั้นน้อยเหลือเกินเมื่อเทียบกับรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ต้องไม่ลืมว่า การคดโกงนั้นคือจุดอ่อนสำคัญของระบอบเผด็จการ ดังนั้น จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เกิดภาพเช่นนั้นขึ้น มิเช่นนั้น คงไม่เกิดวลีทอง ไม่ได้โกงแค่ส่วนต่างเยอะเท่านั้นเอง หรือ เรียกหัวคิวมาแล้วนำไปบริจาคก็ไม่ผิด เป็นการแถไปกันแบบถลอกปอกเปิก เพราะใครก็ไม่กล้าจะไปตรวจสอบ สิ่งสำคัญพวกคนดีทั้งหลายก็พากันหูหนวก ตาบอด ไปเสียฉิบ

ใครที่กลัวว่าการสรรหา 7 เสือกกต.จะไม่ทันการเลือกตั้ง เลิกคิดได้แล้ว เพราะคณะกรรมการสรรหาเขาเปิดรับสมัครกันตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมไปถึง 9 เมษายนนี้ ขณะที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาก็นัดเลือก 2 กกต.สายศาลกัน 26 เมษายน ที่น่าสนใจ คงเป็นคำสั่งของประธานศาลฎีกาในการแก้วิธีการเลือก ซึ่งทำให้คนอดสงสัยไม่ได้ เอ้า! แล้วที่ยืนยันไปกับสนช.รอบก่อนว่าทุกอย่างถูกต้องแล้วนั้นคืออะไร อุ๊บ! อันนี้ไม่ได้ก้าวล่วงหรือวิพากษ์วิจารณ์ แค่สงสัยกับสิ่งที่ถาม-ตอบกันอย่างเป็นทางการตอนนั้นเท่านั้นเอง

Back to top button