ไทยนิยม’ ใต้ราชการ
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการไทยนิยมยั่งยืน หมู่บ้านละ 2 แสนบาท ของกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสิ้น 82,371 หมู่บ้าน เป็นเงิน 16,474.20 ล้านบาท
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการไทยนิยมยั่งยืน หมู่บ้านละ 2 แสนบาท ของกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งสิ้น 82,371 หมู่บ้าน เป็นเงิน 16,474.20 ล้านบาท
หลักเกณฑ์คือให้ไปดำเนินโครงการกันเอง หมู่บ้านละไม่เกิน 2 โครงการ ต้องเป็นโครงการที่สามารถสร้างรายได้ให้ประชาชน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ต้องน้อมนำศาสตร์พระราชาและปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ ต้องแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความต้องการ ต้องจ้างงานในวงเงินไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ห้ามนำไปต่อยอดกองทุนหมู่บ้าน ห้ามจ่ายแจกเป็นเงินหรือสิ่งของ ห้ามทำสาธารณูปโภคพื้นฐาน ระยะเวลาดำเนินการ 120 วัน ตั้งแต่ เม.ย. ถึง ก.ค. 2561 ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการหมู่บ้านเรียกประชุมทำโครงการ แล้วคณะกรรมการบริหารงานอำเภอเป็นผู้อนุมัติ
ฟังแล้วก็ยังงงๆ ว่าจะทำโครงการอะไรบ้าง เพราะปีที่แล้วเพิ่งมีโครงการ 9101 ของกระทรวงเกษตรฯ วงเงิน 22,752.50 ล้านบาท ชุมชนละ 2.5 ล้านบาท ซึ่งแบ่งงบให้จัดซื้อวัสดุครึ่งหนึ่ง จ้างงานครึ่งหนึ่ง อาทิ ซื้อขี้หมูขี้ไก่ 1.25 ล้านบาท จ้างชาวบ้านมาทำปุ๋ย 1.25 ล้านบาท เป็นโครงการที่โหม PR ผ่านสื่อหนักมาก แต่มีการตรวจสอบน้อยมาก ทั้งในแง่การทุจริต และความคุ้มค่า เช่น ปุ๋ยที่ได้มา บางชุมชนก็กองพะเนินส่งกลิ่นตลบ
บางชุมชนนะ เอาพืชผลมาแปรรูป เช่น ทำพริกแกง ก็ดีอยู่หรอกแต่กินกันไม่หวาดไหว กว่าจะขายหมดต้องใช้เวลาเป็นปี
วิธีแก้ปัญหาเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาลนี้ ไม่พ้นจากการหว่านเงิน แต่บอกไม่ใช่ประชานิยม ทั้งที่พยุงราคาพืชผลไปเลยยังดีกว่า ปัญหาของการหว่านเงินคือต้องผ่านระบบราชการ จังหวัด อำเภอ ตั้งแต่ตำบลละ 5 ล้าน มาถึงงบพัฒนาจังหวัด ซึ่งว่าเฉพาะตำบลละ 5 ล้าน เท่าที่มีรายงาน สตง.ในบางจังหวัด (ยังตรวจไม่ครบ) ก็มีทั้งความไม่โปร่งใส และไม่ตรงเป้า ไม่ตรงความต้องการ
เรื่องตลกคือ 3 ปีมานี้ งบกระตุ้นฐานรากที่ได้ผล และยังทำสม่ำเสมอ คือกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งอัดฉีดลงไป 6 หมื่นล้านแล้ว ทั้งที่ด่าประชานิยม ส่วน “ไทยนิยม” นี่ก็ชวนนึกถึง SML อยู่เหมือนกัน เพียงแต่รัฐบาลคงบอกว่าวางหลักเกณฑ์รัดกุมและต้องยั่งยืน
รู้ไหมครับ สมัยรัฐบาลขิงแก่ ที่ไปล้ม SML ของทักษิณ แล้วชาวบ้านไม่พอใจเพราะอะไร ก็เพราะจากเดิมที่ให้ประชาคมหมู่บ้านตกลงกันเอง กลับไปให้ราชการ จังหวัด อำเภอ อนุมัติ ซึ่งกลายเป็นอ้อยเข้าปากช้าง
พูดอย่างนี้ไม่ได้ปรามาสตัดหน้า ก็รอดูกันว่าโครงการไทยนิยมจะหน้าตาอย่างไร แต่เตือนไว้ ให้ระบบราชการเข้าไปยุ่งเกี่ยวน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี ยิ่งตอนนี้ ประชาชนกำลังไม่ไว้วางใจข้าราชการ ที่มีเรื่องทุจริตเต็มไปหมด แม้บอกว่าปัญหาเกิดต่อเนื่องจากยุคนักการเมือง แต่รัฐบาลนี้ก็ฟื้นระบอบรัฐราชการเป็นใหญ่ ซึ่งยิ่งน่าวิตกเข้าไปอีก
ปัญหาระบบราชการ ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูงบกลางปี 1.5 แสนล้านบาทที่เพิ่งผ่าน สนช. ในจำนวนนี้เป็นค่าใช้จ่ายตามนโยบายรัฐบาล 100,358 ล้านบาท ทั้งบัตรคนจน ปฏิรูปภาคเกษตร พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชน แต่อีก 49,642 ล้านบาท เอามาชดเชยเงินคงคลัง ซึ่งรัฐบาลเบิกมาจ่ายค่าเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ และค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ
ฟังแล้วตกใจ อะไรจะมากขนาดนั้น ย้อนดูปี 2559 ต้องทำงบกลางปีชดเชยเงินคงคลัง 8,339 ล้านบาท เมื่อปี 2560 ชดเชยเงินคงคลัง 27,078 ล้านบาท นี่แสดงว่าค่าเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญค่ารักษาพยาบาลพุ่งขึ้นทุกปี ขณะที่ประสิทธิภาพและความโปร่งใสไม่คุ้มกัน