พาราสาวะถี
คงเห็นบทสรุปที่รออยู่ข้างหน้าแล้วสำหรับปมแหวนเพชรและนาฬิกาหรูของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หลังจากปิดปากเงียบไม่ตอบคำถามนักข่าวต่อประเด็นดังว่ามาหลายเดือน เมื่อวันศุกร์ก็ปักหลักสาธยายเป็นฉากๆ ยอมรับแหวนเพชรเป็นของพ่อที่ให้แม่ไว้ราคาไม่ถึง 2 แสนบาท จึงไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช.
อรชุน
คงเห็นบทสรุปที่รออยู่ข้างหน้าแล้วสำหรับปมแหวนเพชรและนาฬิกาหรูของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หลังจากปิดปากเงียบไม่ตอบคำถามนักข่าวต่อประเด็นดังว่ามาหลายเดือน เมื่อวันศุกร์ก็ปักหลักสาธยายเป็นฉากๆ ยอมรับแหวนเพชรเป็นของพ่อที่ให้แม่ไว้ราคาไม่ถึง 2 แสนบาท จึงไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช.
ส่วนนาฬิกาหรู 22 เรือน ย้ำคำเดิมยืมเพื่อนที่ตายไปแล้ว นาม ปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนรักจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล เป็นธรรมดาทั้งพ่อและเพื่อนไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้วย่อมพูดอะไรไม่ได้ แต่ปุจฉาที่มีคนสงสัยคือ การยอมให้สัมภาษณ์นักข่าวครั้งแรกในรอบหลายเดือนพร้อมอธิบายเป็นฉากๆ เพราะคุณรายงานข่าวจากป.ป.ช.ที่บอกว่ามีข้อสรุปแล้วใช่หรือไม่
ข่าวชิ้นนั้นระบุว่า คณะกรรมการป.ป.ช.เชื่อตามที่พลเอกประวิตรชี้แจงคือแหวนเพชรเป็นของพ่อราคาไม่ถึงเกณฑ์ไม่จำเป็นต้องแจ้ง ส่วนเรื่องนาฬิกาป.ป.ช.สั่งให้คณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงกรณีครอบครองนาฬิกาหรูและแหวนเพชรไปตรวจสอบเพิ่มเติมในส่วนของหมายเลขประจำเครื่องนาฬิกาหรือซีเรียลนัมเบอร์ให้ครบทั้ง 22 เรือน หรือพูดอีกนัยอาจมองได้ว่าเป็นการยื้อเวลาออกไปนั่นเอง
เอกสารที่คณะทำงานแสวงหาข้อเท็จจริงรายงานต่อป.ป.ช.นั้นมีทั้งหมด 38 หน้า ไม่รู้ว่าเนื้อหาสาระเป็นอย่างไร แต่หากเป็นไปตามที่บิ๊กป้อมชี้แจงและจะเป็นบทสรุปของป.ป.ช. สิ่งที่ต้องคิดต่อไปคือจะอธิบายให้สังคมเกิดความกระจ่างและไร้ความเคลือบแคลงอย่างไร ไม่ใช่เฉพาะว่าเป็นของเพื่อนแล้วจบกัน คงต้องลงลึกถึงขั้นที่ว่าซีเรียลนัมเบอร์ตรวจสอบแล้วเป็นอย่างไร และมีการตรวจสอบการเสียภาษีหรือไม่
ประการหลังนี้เป็นเรื่องสำคัญเพราะนาฬิกาแต่ละเรือนล้วนแล้วแต่มีราคาสูง บางเรือนเป็นรุ่นเฉพาะหรือลิมิเต็ดเอดิชั่นต้องสั่งเท่านั้นถึงจะครอบครองเป็นเจ้าของได้ ถ้าหลุดไปจากนี้ไม่มีคำอธิบายใดๆ พลเอกประวิตรอาจจะหลุดไปจากข้อกล่าวหา แต่องค์กรอย่างป.ป.ช.จะตกเป็นขี้ปากและมีผลต่อความเชื่อถือเชื่อมั่นของประชาชน
แต่บทสรุปคงไม่หนีไปจากนี้ เพราะฟังโหรคมช. วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ อธิบายเป็นมั่นเหมาะเรื่องนี้ไม่ระคายผิวบิ๊กป้อม มิหนำซ้ำ ยังยกย่องเชิดชู พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นผู้นำประเทศ นำพาเมืองไทยเข้าสู่ยุคศิวิไลซ์ จะอยู่ในอำนาจยาวนานเป็น 10 ปี มองได้ไกลขนาดนั้น หลายคนเลยอยากรู้ว่าเป็นนิมิตจากหลวงปู่ฤาษีเกวาลันจริงๆ หรือข้อมูลอินไซด์จากผู้มีอำนาจกันแน่
ส่วนคนที่ถูกพาดพิงถึงจากโหรคมช.อย่าง ทักษิณ ชินวัตร ที่ตามคำพูดของโหรคนดังบอกว่าจะไม่ได้กลับมาประเทศไทยอีกเช่นเดียวกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งก็น่าแปลกใจว่าถ้าเป็นนิมิตของฤาษีจริงทำไมจึงมีข้อทักท้วงตามมาด้วยว่า คนเหล่านี้หมดหน้าที่กับบ้านเมืองไปแล้ว ควรปล่องวาง ประชาชนควรหันหน้าช่วยกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า เพราะตอนนี้เป็นยุคของพลเอกประยุทธ์ที่ต้องมีหน้าที่ดูแลขับเคลื่อนประเทศไปอีกหลายปี
แหม!ช่างเป็นการทำนายทายทักที่เต็มไปด้วยสำนวนโวหารทางการเมืองเสียจริงๆ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าสองศรีพี่น้องอดีตนายกรัฐมนตรีไม่ได้สนใจต่อเสียงนกเสียงกาใดๆ เนื่องจากเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาทั้งคู่ได้ไปปรากฏตัวที่ประเทศญี่ปุ่นในงานเปิดตัวหนังสือของ อิชิอิ ฮาจิเมะ อดีตรัฐมนตรีกิจการภายในญี่ปุ่น ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในแขวงชิโยดะ กรุงโตเกียว
แน่นอนว่าการออกงานคู่เที่ยวนี้หนีไม่พ้นเป็นที่สนใจของสื่อแดนอาทิตย์อุทัย โดยมีการถามทักษิณถึงสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทย ซึ่งได้คำตอบ หวังว่าไทยจะสามารถกลับสู่การเป็นประชาธิปไตยอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ระบบซึ่งยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีและรับประกันสิทธิของประชาชนที่ไทยต้องการเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคเศรษฐกิจสมัยใหม่ที่ต้องการประชาธิปไตยเพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างเต็มที่
ก่อนจะตบท้ายเรื่องเลือกตั้ง ที่นายใหญ่รีบออกตัวว่า ตนคงไม่มีส่วนร่วม และทางสมาชิกพรรคเพื่อไทยคงไม่อยากให้ตนมีส่วนร่วม อย่างไรก็ตาม ในพรรคยังมีคนดี คนมีความรู้ความสามารถอีกมาก ดังนั้นจึงเชื่อว่าบุคคลเหล่านั้นจะสามารถนำพรรคไปสู่ชัยชนะแบบถล่มทลายได้อีกครั้ง ความมั่นใจที่แสดงออกมานี่แหละ ไม่รู้ว่าจะเป็นภาระหรือสร้างความน่าหมั่นไส้ให้กับพวกกองแช่งเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่
กระนั้นก็ตาม หากมองในมิติที่เป็นจริงสิ่งที่ทักษิณกล้าพูดเช่นนั้น เพราะทางพรรคได้มีการทำโพลสำรวจความเห็นประชาชนอยู่แล้ว เหมือนกับที่ทำทุกครั้งโดยเฉพาะหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ซึ่งคงไม่ได้มีเพียงเฉพาะพรรคนายใหญ่เท่านั้นที่ทำ แต่ฝ่ายความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นกอ.รมน. สันติบาลหรือแม้แต่คสช.เองก็ตาม ย่อมประเมินสถานการณ์กันอยู่ตลอดเวลา
ผลแห่งการเลื่อนโรดแมปหลายกระทอกจนกระทบต่อความน่าเชื่อถือของท่านผู้นำเอง ก็เป็นเหตุมาจากความนิยมของคนในระบอบทักษิณนี่แหละที่ทิ้งกันไม่เห็นฝุ่น ทว่ามาถึงนาทีนี้แม้จะชนะเลือกตั้งอย่างไร ฝ่ายกุมอำนาจมั่นใจแล้วว่า ไม่มีทางที่คนของนายใหญ่จะสามารถก้าวขึ้นมากุมอำนาจในการบริหารประเทศได้ เพราะกับดักต่างๆ ที่วางไว้จะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของประเทศทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้จึงมีการตอกย้ำในรูปแบบที่เรียกว่าแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันของคนในองคาพยพคณะเผด็จการ ด้วยการยืนยันถึงโรดแมปเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 แต่ท้ายที่สุด การยื่นตีความร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. ที่สนช.ยอมเก็บน้ำลายตัวเองที่ถ่มลงพื้นไปแล้วมากลืนลงคออีกเฮือก น่าจะเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างที่จะส่งผลต่อโรดแมปดังว่า
รวมไปถึงการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความคำสั่งคสช.ที่ 53/2560 ของผู้ตรวจการแผ่นดินด้วย ดูจากเหตุผลที่ยืนยันว่าคณะรัฐประหารมีสิทธิโดยชอบในการออกคำสั่งดังกล่าว แต่คำสั่งนั้นไปสร้างภาระให้แก่พรรคการเมืองเกินสมควรโดย 2 พรรคใหญ่ที่ยื่นร้องทั้งเพื่อไทยและประชาธิปัตย์เป็นผู้เดือดร้อนและได้รับผลกระทบโดยตรง จุดนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าคิดหากผลวินิจฉัยออกมาว่าการออกคำสั่งเป็นสิ่งที่ผิดจะเกิดอะไรขึ้น มีผลต่อกระบวนการตามโรดแมปหรือไม่ ทุกความเคลื่อนไหวเวลานี้น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างยิ่ง