พาราสาวะถี
หากการเข้าพบ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ของอดีตส.ส.ประชาธิปัตย์และชาติไทยพัฒนา ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมครม.เมื่อวันอังคารสัปดาห์ก่อน เป็นเพียงแค่การหารือเรื่องอีอีซีจริงอย่างที่ “ไก่อู” สรรเสริญ แก้วกำเนิด ออกมาแก้ต่างและตอบโต้ข้อกล่าวหาจากคนพรรคเพื่อไทยและพรรคเก่าแก่ ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกลียดและสังคมยอมรับได้
อรชุน
หากการเข้าพบ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ของอดีตส.ส.ประชาธิปัตย์และชาติไทยพัฒนา ที่ทำเนียบรัฐบาล หลังการประชุมครม.เมื่อวันอังคารสัปดาห์ก่อน เป็นเพียงแค่การหารือเรื่องอีอีซีจริงอย่างที่ “ไก่อู” สรรเสริญ แก้วกำเนิด ออกมาแก้ต่างและตอบโต้ข้อกล่าวหาจากคนพรรคเพื่อไทยและพรรคเก่าแก่ ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกลียดและสังคมยอมรับได้
แต่หากวันข้างหน้าสมคิดตั้งพรรคจริงแล้วมีรายชื่อของคนที่ไปร่วมหารือในวันนั้นรวมอยู่ด้วย ถามต่อไปว่า ข้อกล่าวหาที่คนพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์บอกว่าเป็นการใช้สถานที่ราชการเพื่อก่อตั้งพรรคการเมืองของผู้มีอำนาจ ถือเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมและไม่สมควรจะกระทำ โฆษกไก่อูจะแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ได้อธิบายกับสังคมวันนี้อย่างไร
สถานการณ์การเมืองที่เริ่มเข้าสู่บรรยากาศแห่งการเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ไม่ว่าจะพรรคเก่าหรือพรรคใหม่ต่างช่วงชิงความได้เปรียบและพยายามจะขายฝัน ชูจุดยืนของตัวเองกันเต็มที่ ที่เห็นได้ชัดเจนและเป็นอาหารสำเร็จรูปที่พร้อมรับประทานได้ทันที ก็พวกเชียร์เผด็จการคสช. ต่างพากันประกาศหน้าสลอนพร้อมสนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมานั่งนายกฯอีกกระทอก
ถือเป็นสิทธิและเสรีภาพที่จะกระทำกันได้ อย่างน้อยก็ได้ใจและเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆสำหรับกองเชียร์เผด็จการแน่นอน แต่กว่าจะถึงวันนั้นคงต้องผ่านอะไรอีกเยอะ โดยเฉพาะการพิสูจน์ว่าพรรคการเมืองไหนที่ถือเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของคณะรัฐประหาร หรือ พรรคไหนกันแน่ที่เป็นของจริงซึ่งได้รับการดูแลจากผู้มีอำนาจอย่างเต็มที่
ภาวะที่ยังฝุ่นตลบจึงมองไม่ออกว่าใครของแท้ของเทียมหรือของลอกเลียนแบบเกรดเอ ส่วนขาเก่าเจ้าประจำทั้งหลาย มาถึงเวลานี้เริ่มพอที่จะเห็นเค้าลางกันบ้างแล้วใครแต่งเนื้อแต่งตัวรอขบวนขันหมากจากผู้มีอำนาจส่งเทียบเชิญเข้าร่วมรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ขณะเดียวกันก็เริ่มซักซ้อมกันไว้แต่เนิ่นๆ ใครจะเป็นผู้เสนอชื่อบิ๊กตู่ให้เป็นนายกฯคนนอก
เรื่องแบ่งบทกันเล่นนั้น ไม่ว่าจะนักการเมืองอาชีพหรืออำมาตย์ที่กำลังจำแลงเป็นนักการเมืองเต็มตัว ล้วนแต่ตีเนียนกันได้ไม่เห็นความแตกต่าง ต่อให้เก็บอาการอย่างไร สีหน้าแววตามันบ่งชัด ใครเป็นพวกประชาธิปไตยขนานแท้ ใครแค่อ้างประชาธิปไตยแต่ฝักใฝ่เผด็จการและเล่นการเมืองแบบพวกอีแอบ เหล่านี้คนส่วนใหญ่ต่างรู้ดี รอแค่เวลาที่จะเผยให้เห็นธาตุแท้กันเท่านั้น
เห็นผลของสำนักสวนดุสิตเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อย่าเพิ่งด่วนสรุปหรือพวกหน้าใหม่อย่ารีบตีอกชกตัว จากประเด็นที่ว่า เสียงส่วนใหญ่จะเลือกส.ส.หน้าใหม่กับพรรคการเมืองที่จะตั้งขึ้นใหม่ เพราะเมื่อไปจำแนกเป็นเปอร์เซ็นต์เห็นสัดส่วนแล้ว มันมีสิ่งที่ชวนให้วิเคราะห์ในเชิงลึกได้มากกว่าสิ่งที่เห็น นั่นก็คือตัวเลขของกลุ่มคนที่ยังไม่แน่ใจ
จะเห็นได้ว่าทุกครั้งที่มีการทำโพล กลุ่มที่ตอบคำถามว่าไม่แน่ใจนั้นจะมีเปอร์เซ็นต์น้อยมาก แค่เลขตัวเดียวหรือเป็นเพียงแค่ศูนย์จุดหนึ่งจุดสองเท่านั้น แต่กับโพลชุดนี้เป็นอะไรที่แตกต่าง เมื่อถามว่าประชาชนคิดจะเลือกผู้สมัครส.ส.หน้าเก่าหรือส.ส.หน้าใหม่ กลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ 67.40 ระบุยังไม่แน่ใจ มีร้อยละ 22.91 บอกว่าจะเลือกส.ส. หน้าใหม่ และที่จะเลือกส.ส. หน้าเก่าคือร้อยละ 9.69
เมื่อถามว่าคิดจะเลือกพรรคการเมืองเดิมหรือพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่ ตัวเลขไม่แน่ใจทะลุไปถึงร้อยละ 72.28 กลุ่มตัวอย่างที่จะเลือกพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นใหม่มีร้อยละ 17.44 และเลือกพรรคการเมืองเดิมร้อยละ 10.28 แน่นอนว่า หากนำตัวเลขนี้ไปเทียบกับอาการอยากเลือกตั้งของฝ่ายถือครองอำนาจก็อาจเห็นแนวโน้มที่จะกำชัยชนะในสนามเลือกตั้งได้
ทว่าความเป็นจริง สิ่งที่ลงลึกในรายละเอียดมากกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นโพลของพรรคการเมืองอย่างเพื่อไทยเองก็ดี ผลสำรวจของกอ.รมน.เอยก็ดี ของสันติบาลหรือกระทั่งของคสช.เองก็ดี จะพบว่าไม่ได้เป็นไปอย่างที่โพลล่าสุดระบุไว้แต่อย่างใด ซึ่งนั่นสอดรับกับการใช้เล่ห์กลเพื่อที่จะหาช่องในการยืดโรดแมปเลือกตั้งออกไป ที่ยังย้ำกันอยู่ว่าทุกอย่างเหมือนเดิมคือกุมภาพันธ์ปีหน้า บางส่วนบอกว่านี่เป็นอาการของคนปากกล้าขาสั่น
แม้จะเชื่อมั่นต่อขบวนการมัดมือมัดเท้าคนและพรรคนายใหญ่ไม่ให้กระดิกตัว แม้จะยังมั่นใจว่าท้ายที่สุดหลังเลือกตั้งพรรคที่ฮึ่มๆตีหน้ายักษ์ขู่อยู่เวลานี้อย่างประชาธิปัตย์หนีไม่พ้นจะต้องร่วมรัฐบาล ด้วยการสร้างวลีทองให้สังคมเลิกกังขา แต่การเมืองเป็นเรื่องไม่แน่นอนถ้าเลือกตั้งวันนี้พรุ่งนี้ ทุกอย่างอาจจะเป็นอย่างที่คิดและวางแผนไว้ได้ไม่มีอะไรเปลี่ยน
แต่ห้วงเวลาที่เหลือ ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การเร่งปราบทุจริตที่บอกว่าเป็นเรื่องของฝ่ายปฏิบัติที่ฝ่ายบริหารกำลังโชว์ผลงานอยู่เวลานี้ นั่นอาจเรียกคะแนนได้บ้างแต่ไม่เป็นกอบเป็นกำ เพราะลึกๆคนยังเชื่อว่า การประกาศปราบโกงของบิ๊กตู่ การชูรัฐธรรมนูญปราบโกง เป็นเพียงวาทกรรม ในทางปฏิบัตินั้นคนยังคลางแคลงใจต่อความโปร่งใสหลายๆประการ เพียงแต่ไม่สามารถพูดหรือทำอะไรได้ในยุคอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและมีมาตรายาวิเศษชี้เป็นชี้ตายได้เท่านั้น
เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่มีคนกล้าหรือถึงเวลาที่จะต้องทำให้ประชาชนเห็น มันจะมีอะไรที่งอกออกมาประจานผู้มีอำนาจอยู่เสมอ ยิ่งอยู่นานยิ่งมีโอกาสเจอบาดแผล แม้แต่คนกันเองอย่าง ระวี มาศฉมาดล ว่าที่หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ ยังออกปากเตือน 4 ปีที่ผ่านมา มีการใช้งบประมาณเกินดุลมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ขณะเดียวขอเตือนเรื่องการใช้งบประมาณในลักษณะประชานิยม เพราะไม่ส่งผลดีต่อประเทศในระยะยาว อาจฟังดูไม่หวือหวาเท่าไหร่ แต่ในคำพูดของคนประเภทนี้มักจะมีอะไรแฝงเร้นให้น่าติดตามอยู่เสมอ