ดันๆ ทุบๆ
*วานนี้เป็นอีกครั้งที่ “โมนิก้า” ได้มีโอกาสพบปะกูรูตลาดหุ้นชั้นนำของประเทศหลายคนด้วยกัน ซึ่งแต่ละคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เครื่องไม้เครื่องมือในตลาดหุ้นเอื้อให้กองทุนตัวแสบกระทำชำเราแมงเม่าได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้แมงเม่ามากหน้าหลายตาหดหายลงไปเรื่อยๆ และทำให้ภาพบรรยากาศก่อนเทศกาลสงกรานต์ดูกร่อยลงไปในทันทีแบบนี้..อยู่เฉยๆ ก่อนดีไหมจ๊ะ
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*วานนี้เป็นอีกครั้งที่ “โมนิก้า” ได้มีโอกาสพบปะกูรูตลาดหุ้นชั้นนำของประเทศหลายคนด้วยกัน ซึ่งแต่ละคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เครื่องไม้เครื่องมือในตลาดหุ้นเอื้อให้กองทุนตัวแสบกระทำชำเราแมงเม่าได้อย่างเต็มที่ ส่งผลให้แมงเม่ามากหน้าหลายตาหดหายลงไปเรื่อยๆ และทำให้ภาพบรรยากาศก่อนเทศกาลสงกรานต์ดูกร่อยลงไปในทันทีแบบนี้..อยู่เฉยๆ ก่อนดีไหมจ๊ะ
*เนื่องจากเดือนเมษายน เป็นช่วงของการขึ้นเครื่องหมาย XD จึงกลายเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันที่ทำให้หุ้นส่วนใหญ่ไม่มีแรงขยับขึ้นต่อ “โมนิก้า” ถึงมองภาพของการเล่นหุ้นเที่ยวนี้ผันผวนมากกว่าดีขึ้น เพราะตัวแปรหลักที่กูรูเม้าท์ถึงในเที่ยวนี้พุ่งเป้าไปยัง กองทุนตัวแสบ กับ ปอบผีฟ้า มากกว่าการเทขายของฝรั่งตาน้ำข้าว (นักเล่นกลุ่มนี้มีแนวทางที่ชัดเจน) นะจะบอกให้
*เมื่อทุกอย่างถูกปรับจูนใหม่ด้วยเรื่องค่า P/E รวมทั้งแนวความคิดเกี่ยวกับ ธุรกิจไหนรุ่ง..ธุรกิจไหนร่วง กลายเป็นฐานความคิดในการ take profit พร้อมกับพยายามลดพอร์ตหุ้นบางตัวอย่างต่อเนื่อง “โมนิก้า” ถึงอยากให้แฟนคลับอ่านเกมหุ้นเที่ยวนี้ให้ขาดตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้เข้าใจสาเหตุที่ทำให้ดัชนีทำจุดสูงสุดของการเด้งขึ้นในแต่ละรอบต่ำลงเรื่อยๆ นะออเจ้า
*หากยังไม่เข้าใจสิ่งที่ “โมนิก้า” เกริ่นนำให้ฟังในเที่ยวนี้ ก็ขอเพิ่มเติมในรายละเอียดดังกล่าวอีกนิดหน่อยว่า วันนี้หุ้นตัวไหนมีค่า P/E เกินกว่า 20 เท่า ย่อมตกเป็นเป้าหมายของการขายทิ้งมากกว่าซื้อเก็บ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงเพลานี้ เพียงแต่กลยุทธ์การขายจะเป็นลักษณะ “ดันเพื่อขาย” ไม่ใช่การโละทิ้งหมดพอร์ตเหมือนเช่นในอดีต จึงเห็นหุ้นบางตัวมีการเด้งสู้ก่อนจะไหลต่อเจ้าค่ะ
*เหมือนกับในรายของ GULF เห็นกันทนโท่ว่า มีการวางเป้าหมายไว้ที่ 80 บาท และหุ้นก็ไต่ระดับขึ้นไปหายอดดังกล่าวในทันทีทันใด แต่หลังจากนั้นกลับอ่อนตัวลงมาเรื่อยๆ จนภาพการเคลื่อนตัวของหุ้นอยู่ในลักษณะโค้งตัวลง “โมนิก้า” มองเป็นช็อตของนักลงทุนสถาบันกำลังทยอยออกของ เพราะเมื่อดูค่าพี/อี ปี 2560 ที่ระดับ 60 เท่า เทียบกับพี/อี ปี 2561 ที่ระดับ 39 เท่า ซึ่งเป็นราคาปิดใกล้เคียงกับวานนี้ที่ 67 บาท บวกไป 3.50 บาทหรือขึ้นไป 5.50% มันคืออะไรลองไปคิดกันนะจ๊ะ
*ถ้ายังมองกันไม่ชัด “โมนิก้า” ขอแนะนำให้มิตรรักแฟนเพลงหันไปมอง BCPG โดนเทขายอย่างหนักหน่วงเป็นเวลานานหลายสัปดาห์ จนวานนี้หุ้นลงมาทำจุดต่ำสุดของวันที่ 17.50 บาท ก่อนจะเด้งกลับขึ้นไปปิดที่ 19.10 บาท บวกไป 0.40 บาท หรือขึ้นไป 2.15% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 891 ล้านบาท ทั้งที่ค่าพี/อีลดลงเหลือแค่ระดับ 18 เท่า เทียบกับราคาเป้าหมายที่โบรกเกอร์ให้ไว้ขั้นต่ำ 20 บาท เท่ากับเป็นการย้ำหัวหมุดว่า เวลากองทุนตัวแสบกับปอบผีฟ้าออกของแบบสุดซอย..ก่อนจะซื้อกลับ อะไรก็ต้านไม่อยู่นะคะ
*เหมือนกับในรายของ BGRIM ไหลลงมายืนที่ 23.70 บาท ก่อนจะเด้งกลับขึ้นไปปิดที่ 25 บาท บวกไป 1.10 บาท หรือขึ้นไป 4.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 745 ล้านบาท ก็มาจากเหตุผลเรื่อง take profit เป็นหลักเช่นกัน และการขึ้นของหุ้นก็มาจากกองทุนดันขึ้นไปทั้งนั้น “โมนิก้า” ถึงชอบเปรียบเทียบค่าพี/อี ปี 2560 อยู่ที่ 48 เท่า ส่วนค่าพี/อี ปี 2561 อยู่ที่ 29 เท่า มันเป็นจุดที่บอกให้รู้ว่า หุ้นลงมาเยอะ แต่แรงเทขายยังไม่เบา..ออกของยังไม่หมดใช่ม๊า!
*สำหรับในรายของ CPF เห็นกันทนโท่ว่า ของดี..ราคาถูก ยังถูกพวกกองทุนกดลงมายืนที่ 24.50 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 1.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.15 พันล้านบาท ทั้งที่วันนี้เทรดบนค่า P/E 14 เท่า “โมนิก้า” ย่อมเทน้ำหนักไปที่ท่าทีของพวกกองทุนกำลังลดพอร์ตหุ้นมากกว่าประเด็นอื่นๆ เพราะมองในมุมของการคัดกรอง “หุ้นเติบโต พี/อีต่ำ” นี่คือหุ้นที่ต้องมีติดพอร์ตไว้ตลอดเวลานะจะบอกให้
*เหมือนกับในรายของ VNT เขาว่ากันว่า โดนกองทุนตัวแสบกดหนัก จนหุ้นร่วงลงมายืนอยู่ที่ระดับ 27.75 บาท ลบไป 3.75 บาท หรือลงไป 11.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 320 ล้านบาท ทั้งที่เทรดบนค่า P/E 16 เท่า “โมนิก้า” อธิบายได้แค่เพียงว่า เมื่อกองทุนมองบางอย่างไม่เป็นเหมือนเดิม อะไรก็ดูไม่ดีไปหมดเสียทุกอย่าง จึงต้องปล่อยให้หุ้นร่วงลงไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีคนอยากเข้ามารับของร้อนน่ะซี
*เช่นเดียวกับในรายของ SAWAD กับ MTLS เจอมรสุมข่าวลบถาโถมเข้ามาไม่ยั้ง สภาพของหุ้นถึงดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่! เมื่อบวกกับการรินหุ้นออกมาเรื่อยๆ ของกองทุนตัวแสบ “โมนิก้า” ถึงไม่แปลกใจที่ทั้งคู่จูงมือกันทิ้งดิ่งแบบไม่ลืมหูลืมตา เพราะมองในมุม ของข่าวสารที่ออกมาในช่วงนี้ มันไม่มีข่าวไหนที่เป็นบวกให้กับสองคู่ชู้ชื่นเลย วานนี้ถึงเห็นหุ้นรายแรกลงมาปิดที่ 53.25 บาท ลบไป 1 บาท หรือลงไป 1.80% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 328 ล้านบาท ส่วนรายหลังลงมาปิดที่ 33.75 บาท ลบไป 0.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 270 ล้านบาทไงล่ะคะ
ป.ล.วานนี้ได้เห็นวีรกรรมดันๆ ทุบๆ ของนักเล่นขาใหญ่ตลาดหุ้นกันแล้ว นักเล่นคงเข้าใจเหตุผลที่ดัชนียืนปิดที่ระดับ 1,760.95 จุด บวกไป 9.68 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 6 หมื่นล้านบาทนะจ๊ะ