KTC เซอร์ไพรส์
บัตรกรุงไทย หรือ เคทีซี สร้างเซอร์ไพรส์ในงวดไตรมาส 1/2561 อีกแล้ว เคทีซี มีกำไรสุทธิกว่า 1.20 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% ซึ่งนอกเหนือจะทำสถิติสูงสุดรายไตรมาสด้วยแล้ว ก็ยังเป็นตัวเลขกำไรที่มากกว่าที่นักวิเคราะห์จากทุกโบรกฯคาดการณ์กันไว้
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
บัตรกรุงไทย หรือ เคทีซี สร้างเซอร์ไพรส์ในงวดไตรมาส 1/2561 อีกแล้ว
เคทีซี มีกำไรสุทธิกว่า 1.20 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 65% ซึ่งนอกเหนือจะทำสถิติสูงสุดรายไตรมาสด้วยแล้ว ก็ยังเป็นตัวเลขกำไรที่มากกว่าที่นักวิเคราะห์จากทุกโบรกฯคาดการณ์กันไว้
ล่าสุด บล.บัวหลวง ได้รับราคาเป้าหมายเคทีซีขึ้นเป็น 351 บาท พร้อมคำแนะนำซื้อ
เช่นเดียวกับโบรกฯอีกหลายแห่งได้ขยับราคาเป้าหมายเคทีซีขึ้นมาเช่นกัน
เมื่อวานนี้ ราคาหุ้นเคทีซีปิดที่ระดับ 330 บาท เพิ่ม 18.00 บาท เปลี่ยนแปลง 5.77% มูลค่าการซื้อขาย 1,830.71 ล้านบาท
ราคาปิดเมื่อวานนี้ยังไม่ถือว่าเป็นสถิติสูงสุด
ก่อนหน้านี้ ราคาหุ้นเคทีซีเคยขึ้นไปถึง 336 บาท เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา
นักลงทุนที่เข้าไปซื้อขายหุ้นเคทีซีต่างกำลังจับตาดูว่าฝ่ายบริหารของบริษัทจะมีการพิจารณาเรื่องของการ “แตกพาร์” หรือไม่ หากมีการเสนอมาจากผู้ถือหุ้น
หากจำกันได้ คุณระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ เคทีซี เคยบอกเอาไว้เกี่ยวกับการแตกพาร์
“หากราคาหุ้นถึงตัวเลข 4 หลักเมื่อไหร่ ก็อาจจะพิจารณาเรื่องการแตกพาร์”
แต่ผ่านมาถึงวันนี้ ราคาหุ้นเคทีซีเริ่มขยับขึ้นมาเรื่อยๆ และหากยืนเหนือ 300 บาทไปเรื่อยๆ หรืออาจไปแตะระดับ 400 บาท
ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าอาจจะมีแผนเรื่องแตกพาร์เลยก็ได้
อย่างเช่น หุ้น AOT มีการแตกพาร์ในช่วงที่ราคาหุ้นขึ้นมาระหว่าง 410–420 บาท
ส่วน PTT มีการชงเรื่องการแตกพาร์ในช่วงราคาหุ้น 470-480 บาท
เป้าหมายของการแตกพาร์ทั้งของ AOT และ PTT เพราะหวั่นว่าหากปล่อยให้ราคายืนอยู่ที่ระดับ 400-500 บาท
อาจจะทำให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงหุ้น AOT และ PTT ยากขึ้น
เช่น หากรายย่อยจะซื้อหุ้น PTT ซัก 100 หุ้น ก็จะต้องใช้เงินกว่า 47,000 บาท
หรือหากซื้อ 500 หุ้น จะใช้เงินถึง 235,000 บาท ซึ่งถือว่าค่อนข้างมากสำหรับรายย่อย เพราะยังมีหุ้นตัวอื่นๆ ที่จะเข้าไปซื้อๆ ขายๆ อีก
นี่ยังไม่รวมนักลงทุนรายย่อยที่ใช้บัญชีมาร์จิ้นในการซื้อขาย
หากนักลงทุนคนไหนมีวงเงินในการใช้มาร์จิ้นไม่มากนัก ยิ่งทำให้อำนาจในการซื้อหุ้นที่ราคาหุ้นขึ้นมาระดับสูงแบบนี้ ก็จะยิ่งลดน้อยลงไปอีก
ปัญหาที่ตามมา คือ สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยอาจจะค่อยๆ ลดน้อยถอยลงได้
ปัจจุบันเคทีซีมีราคาพาร์อยู่ 10 บาท
และมีจำนวนหุ้นที่จดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ 257.83 ล้านหุ้น
ย้อนกลับมาที่สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นเคทีซีพุ่งขึ้นมาแรง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลประกอบการที่ออกมาของเคทีซีเป็นการ “หักปากกาเซียน” กันเลย
ระเฑียร ศรีมงคล เข้ามาทำงานกับเคทีซีกว่า 5 ปีแล้ว
ว่ากันว่า ก่อนที่เขาจะเข้ามาทำงาน หรือเข้ามาอยู่กับเคทีซีใหม่ๆ คุณระเฑียรยังคงบุคลิกของนายแบงก์ หรือการเป็นนักบริหารการเงินเกือบจะ 100%
ทว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่นานนัก
“ระเฑียร” ได้ศึกษาเรื่องของการตลาด (การเงิน) จนก้าวขึ้นมาเป็นนักการตลาดด้านการเงิน หรือ Financial Marketer
จากปัญหาเกณฑ์การคุมสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมาในช่วงกลางปี 2560 ทำให้บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่าเคทีซีจะแย่แน่ๆ
โบรกฯหลายแห่งปรับลดคาดการณ์กำไรและราคาเป้าหมาย
แต่ผ่านมาถึงวันนี้ ระเฑียรและทีมผู้บริหารของเคทีซีต่างสามารถปรับตัวได้ด้วยการสร้างส่วนผสมระหว่างการบริหาร “จัดการด้านการเงิน” และ “การตลาด” ให้เติบโตควบคู่กันไปได้
ทุกวันนี้แบรนด์ของเคทีซีถือว่ามีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่ง
การรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) หรือมีการเรียกว่า “บัตรเคทีซี” ถึง 80% แล้ว จาก 4-5 ปีก่อนหน้านี้ที่มีเพียง 20%
นั่นเพราะคนส่วนใหญ่ยังคงเรียกว่า “บัตรกรุงไทย”
ในแวดวงการตลาดต่างยอมรับว่าการมีแบรนด์ที่ดี ย่อมสร้างโอกาสทางการตลาดที่ดี
และหากเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ก็ย่อมมีโอกาสสร้างราคาหุ้น (ด้วยพื้นฐาน) ที่ดีด้วยเช่นกัน