SCC ช้างติดหล่ม.!

เมื่อบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ประกาศตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 1/2561 ออกมา ถือว่าสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน (รายใหญ่) ไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อตัวเลขกำไรสุทธิ 12,406 ล้านบาท ลดลง 29% จากช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิ 17,385 ล้านบาท


แฉทุกวันทันเกมหุ้น

เมื่อบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ประกาศตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 1/2561 ออกมา ถือว่าสร้างความผิดหวังให้กับนักลงทุน (รายใหญ่) ไม่น้อยเลยทีเดียว เมื่อตัวเลขกำไรสุทธิ 12,406 ล้านบาท ลดลง 29% จากช่วงเดียวกันของปี 2560 ที่มีกำไรสุทธิ 17,385 ล้านบาท

ที่สำคัญ..ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้เฉลี่ย 13,000-14,000 ล้านบาท

ประเด็นอยู่ที่ธุรกิจปิโตรเคมี ที่เป็นเรือธงที่เคย “ผลักดัน” กำไรของ SCC มาโดยตลอดกลับกลายเป็น “กดดัน” กำไรช่วงไตรมาส 1/2561 อย่างมีนัยสำคัญ จาก 3 ธุรกิจของบริษัท นั่นคือ…

กำไรจากธุรกิจเคมีภัณฑ์ ลดลง 15% เทียบกับไตรมาส 4/2560 เหลือ 8,100 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทในเครือแห่งหนึ่ง มีการปิดซ่อมบำรุงโรงงานปิโตรเคมี ตามกำหนด แต่อย่างไรก็ตาม Spread ของ HDPE และ PP เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2560 เนื่องจากจีนมีคำสั่งห้ามการนำเข้าพลาสติกรีไซเคิล ส่งผลให้ความต้องการของ Polyolefins ที่ผลิตใหม่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ผู้บริหาร ระบุว่า Spread ของ PE และ PP จะลดลงช่วงไตรมาส 2/2561 เนื่องจากความต้องการที่จำกัดในช่วงเดือนรอมฎอน (15 พ.ค.-14 มิ.ย.) และโรงงาน Cracker ใหม่ในสหรัฐฯ ได้เริ่มเปิดดำเนินงาน แต่เชื่อว่า Spread อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง

กำไรจากธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง เพิ่มขึ้น 102% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2560 เป็น 2,500 ล้านบาท จากการที่ราคาขายปูนซีเมนต์สูงขึ้นและต้นทุนลดลง โดย SCC ปรับขึ้นราคาขายปูนประมาณ 50 บาทต่อตัน เป็น 1,700-1,750 บาทต่อตัน ในช่วงไตรมาส 1/2561 เพื่อให้ครอบคลุมต้นทุนถ่านหินที่แพงขึ้น พร้อมดำเนินโครงการลดต้นทุน เช่น การลดต้นทุนค่าไฟฟ้าจากการเริ่มเปิดดำเนินการโครงการ Solar farm ขนาด 10 เมกะวัตต์

อย่างไรก็ตามความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศ ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยจากภาคเอกชน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ความต้องการที่เติบโต 6% มาจากโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ แม้ว่าการลงทุนโครงการในต่างจังหวัดของรัฐจะชะลอตัวลงก็ตาม นอกจากนี้

-กำไรจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาส 4/2560 เป็น 1,500 ล้านบาท จากมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์

จากความผิดหวังของงบการเงินไตรมาส 1/2561 ดังกล่าว จึงเป็นที่น่าสนใจว่า ช่วงไตรมาส 2/2561 และช่วงที่เหลือของปีนี้ แนวโน้มกำไรของ SCC จะเป็นไปตามเป้าหมายได้หรือไม่

เริ่มจากกธุรกิจปิโตรเคมี ช่วงไตรมาส 2/2561 ส่วนต่างมีโอกาสราคาอ่อนตัวลง เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลรอมฎอน และปริมาณการผลิตที่สูงจากหน้าหนาวแต่ผู้บริหาร SCC มั่นใจว่า การเติบโตระยะยาวของ Polyolefins เป็นตัวผลักดันอัตรากำไรให้เพิ่มขึ้น ช่วยลดผลกระทบจากซัพพลายของตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น ที่สำคัญความต้องการจากจีนจะเพิ่มขึ้นจากท่อ HDPE จากนโยบายเปลี่ยนการใช้ถ่านหินเป็นก๊าซแทน

ขณะที่ธุรกิจปูนซีเมนต์ ความต้องการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สำหรับปีนี้ โดยความต้องการจากกลุ่มที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นช่วงไตรมาส 2/2561 ขณะที่ราคาถ่านหิน (เชื้อเพลิงการผลิต) ที่เพิ่มขึ้น จะถูกชดเชยด้วยราคาปูนซีเมนต์ที่เพิ่มขึ้น และต้นทุนที่ลดลง จะเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตรากำไรเพิ่มขึ้นได้เช่นกัน

เมื่อดูจากสถานการณ์ตัวเลขผลกำไร SCC ที่ออกมาค่อนข้างน่าผิดหวัง และแนวโน้มผลประกอบการปีนี้ ที่เติบโตแบบมีข้อจำกัด จึงทำให้ SCC เปรียบได้ดั่ง “ช้างติดหล่ม” ที่อาจจะต้องใช้เวลาขึ้นจากหลุมโคลนมากพอสมควรเลยทีเดียว..!!

…อิ อิ อิ…

Back to top button