ช้อนทองคำพลวัต2015
หมอดูอ้างโหราศาสตร์ เพื่ออธิบายว่า เหตุที่ช่วงนี้มูลค่าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่ำ และไม่สามารถเป็นขาขึ้นได้ เพราะดาวเคราะห์สำคัญของระบบสุริยะเรียงตัวกันเป็นแนว ทำให้นักลงทุนไม่มีกะจิตกะใจเข้าซื้อขายหุ้น
หมอดูอ้างโหราศาสตร์ เพื่ออธิบายว่า เหตุที่ช่วงนี้มูลค่าซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่ำ และไม่สามารถเป็นขาขึ้นได้ เพราะดาวเคราะห์สำคัญของระบบสุริยะเรียงตัวกันเป็นแนว ทำให้นักลงทุนไม่มีกะจิตกะใจเข้าซื้อขายหุ้น
หากใช้คำอธิบายดังกล่าว ก็คงไม่ต้องทำอะไร เพื่อจะทำให้ตลาดหุ้นฟื้นคืนกลับมา ปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม เพราะหากดวงดาวเคลื่อนย้ายไป ก็จะกลับมาปกติเหมือนเดิมได้ ดังนั้น เสียงเรียกหา “ช้อนทองคำ” เพื่อที่จะเข้ามาพลิกสถานการณ์ให้ตลาดกลับเป็นขาขึ้นระลอกใหม่ก็เปล่าประโยชน์
ผู้บริหารธนาคารไทยพาณิชย์อย่างนายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ มีคำอธิบายในมุมแคบ แต่ก็ตรงข้ามกับหมอดู บอกว่า เศรษฐกิจไทยที่ยังฟื้นตัวช้า ทำให้มีแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไป มีทิศทางทรงตัว หรืออาจลดลงได้ เพื่อที่จะหาคำอธิบายมาบอกว่าเหตุใด ธนาคารจึงต้องระวังเรื่องการปล่อยสินเชื่อ
สำหรับนักลงทุนในตลาดหุ้น ในยามที่ตลาดซึมตัวลง คำอธิบายใดๆ ที่ไม่สามารถชี้ให้เห็นได้ว่า ตลาดจะกลับมาคึกคัก และฟื้นตัวพลิกกลับจากการซึมลงแบบไซด์เวย์ เป็นขาขึ้นระลอกใหม่ เป็นปัจจัยเพื่อให้หุ้นฟื้นตัวกลับมา ล้วนไม่มีคุณค่าใดๆ
ช้อนทองคำของตลาดหุ้น ซึ่งนักลงทุนกำลังโหยหาอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่ค่าเงินบาทอ่อนสุดเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในรอบ 5 ปี น่าจะมีความหมายเดียวกันกับสิ่งที่นักวิเคราะห์บางสำนักเรียกว่า แนวรับรูปแบบสามเหลี่ยมใหญ่ที่เป็นจุดซื้อหุ้นกลับอีกครั้ง
ช้อนทองคำของตลาดหุ้น หมายถึงภาวะที่ราคาหุ้นสำคัญหรือดัชนีของตลาด พลิกกลับจากจังหวะขาลงมาเป็นขาขึ้น ซึ่งมี 2 แนวทาง คือ ระยะสั้น กับระยะกลาง (หรือยาว)
ช้อนทองคำระยะสั้น เรียกกันว่า เทคนิคัล รีบาวด์ หมายถึงการเปลี่ยนทิศทางกะทันหันของราคาหรือดัชนีตลาดหุ้น เป็นขาขึ้นชั่วคราว (ในที่นี้ รวมหมายถึงการรีบาวด์ขาลงที่เรียกว่า แมวตายเด้ง (dead-cat rebound) ด้วย)
ส่วนช้อนทองคำระยะกลาง (หรือยาว) หมายถึงภาวะกระทิง ซึ่งเป็นช่วงเวลาของขาขึ้นที่ยาวนาน (ส่วนใหญ่จะมีอย่างน้อย 4 ระลอกเป็นขั้นบันได) แต่ภาวะช้อนทองคำหลังสุดนี้ จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ นักลงทุนส่วนใหญ่ของตลาดมีอารมณ์ชัดเจนในเรื่องของความเชื่อมั่นต่อตลาดโดยรวม ความเชื่อมั่นต่ออนาคตของหุ้นรายตัวที่ถืออยู่ และความคาดหวังทางบวกต่อผลของการลงทุน
ช้อนทองคำนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากอารมณ์ร่วมของนักลงทุนที่เรียกกันว่า ท่าทีกระทิง (bill position) หมายถึงความต้องการที่จะเข้าซื้อหลักทรัพย์หรือหุ้นในตลาดเพื่อถือเอาไว้ทำกำไรในอนาคต หรือที่รู้จักกันง่ายๆ ว่ายุทธศาสตร์ “ซื้อแล้วถือ” นั่นเอง
โจทย์สำคัญที่นักลงทุนต้องค้นหาให้ได้ เพื่อจะไม่ต้องพลาดอยู่ที่ว่า จะสามารถอ่านสัญญาณล่วงหน้าได้หรือไม่ว่า ช่วงจังหวะของ “ช้อนทองคำ” นั้น ควรจะเกิดขึ้นเมื่อใด ที่ไม่ใช่ซื้อเมื่อคิดว่าถูกแล้ว แต่ยังมีถูกกว่าเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
พูดแบบนักวิเคราะห์ก็คือ ซื้อเมื่อถึงแนวรับ และขายเมื่อถึงแนวต้าน แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า แนวต้านหรือแนวรับดังกล่าว เป็นแค่จินตนาการ ไม่ได้มีอยู่จริง
นักวิเคราะห์ในตลาดเก็งกำไรจำนวนมาก ใช้ความรู้ทางสถิติและคณิตศาสตร์มาสร้างแนวต้านและแนวรับทางเทคนิคขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทางอ้างอิงให้นักลงทุนเข้าใจถึงจังหวะในการเข้าซื้อ หรือขายได้อย่างถูกต้อง
แนวรับและแนวต้านดังกล่าว สามารถดูได้จากสัญญาณหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น SSTO หรือ MACD หรือ OBOS แต่ก็อย่างที่ว่ากันนั่นแหละคือมันไม่ใช่สัจธรรมสัมบูรณ์ที่ต้องเชื่อถืออย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะสัญญาณเหล่านี้ล้วนมีข้อบกพร่องกันทั้งนั้น
การอ่านสัญญาณให้แม่นยำ จะต้องทำความเข้าใจกับธรรมชาติของสัญญาณประกอบด้วยอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ใช่การหลงเชื่ออย่างเถรตรง และปราศจากการปรับเปลี่ยนยืดหยุ่นตามสภาวะเฉพาะหน้า
การได้มาซึ่ง “ช้อนทองคำ” จึงเรียกร้องประสบการณ์ค่อนข้างมาก ไม่ใช่ได้มาแบบฟรีๆ และส้มหล่น โดยไม่ผ่านกระบวนการของประสบการณ์
เสียงเรียกหาช้อนทองคำ ในยามที่ตลาดซึมตัวลงแบบไซด์เวย์ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ แต่การได้มาซึ่งช้อนทองคำนั้น ยากยิ่งกว่าธรรมดา และไม่ใช่ใครก็สามารถถือช้อนทองคำได้ เพราะว่าบางครั้งช้อนทองคำที่ว่าก็อาจหักได้ เนื่องจากเป็นช้อนปลอม เพราะคนถือไม่มีความรู้ว่ามันคืออะไร
ช้อนทองคำจึงได้มายากกว่าการเชื่อคำอธิบายของหมอดู แต่อย่างไหนจะทำให้ร่ำรวย หรือยากจนมากกว่ากัน เป็นประสบการณ์ที่ชวนท้าทาย