พาราสาวะถี

เป็นธรรมดาของอำนาจเผด็จการ ย่อมหวั่นไหวและหวาดกลัวต่อทุกสรรพเสียงที่เห็นต่าง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะประสานเสียง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สั่งการไปยังฝ่ายความมั่นคง ไปสืบค้นหาหลักฐานมาให้ได้ ใครอยู่เบื้องหลังกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง พุ่งเป้าดิสเครดิตกันเห็น ๆ ทั้งกลุ่มเคลื่อนไหวและหวังเชื่อมโยงไปถึงนักการเมืองหรือกลุ่มการเมืองที่พอจะเดากันได้ว่าเป็นพวกไหน


อรชุน

เป็นธรรมดาของอำนาจเผด็จการ ย่อมหวั่นไหวและหวาดกลัวต่อทุกสรรพเสียงที่เห็นต่าง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะประสานเสียง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สั่งการไปยังฝ่ายความมั่นคง ไปสืบค้นหาหลักฐานมาให้ได้ ใครอยู่เบื้องหลังกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง พุ่งเป้าดิสเครดิตกันเห็น ๆ ทั้งกลุ่มเคลื่อนไหวและหวังเชื่อมโยงไปถึงนักการเมืองหรือกลุ่มการเมืองที่พอจะเดากันได้ว่าเป็นพวกไหน

ยิ่งล่าสุดกับข่าวการปิดสถานีโทรทัศน์คนเสื้อแดงที่ชื่อว่า พีซ ทีวี ตรงนี้ฝ่ายสั่งปัดอย่างกสทช.ไม่ต้องอ้างข้อกฎหมายใด ๆ หรือยกเรื่องไหนมาอธิบาย ก็รู้ ๆ กันอยู่ทั้งครั้งที่มีมิติเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สำคัญ สถานีช่องนี้จะเป็นกระโถนท้องพระโรงรับแจ็กพอตถูกปิดอยู่ร่ำไป หนีนี้ก็เช่นกัน เหตุผลคือเกรงว่าจะเป็นช่องทางในการปลุกระดมคนไปร่วมสมทบม็อบอยากเลือกตั้งที่นัดชุมนุมใหญ่กันระหว่างวันที่ 19-22 พฤษภาคมนี้

ทั้ง ๆ ที่ก็รู้กันอยู่ว่าหัวขบวนหลักของสถานีช่องดังกล่าวอย่าง จตุพร พรหมพันธุ์ ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะเป็น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ธิดา ถาวรเศรษฐ และแกนนำรายอื่น ต้องยอมรับกันว่าไม่สามารถที่จะชี้นำสั่งการ เรียกมวลชนได้เท่าคนที่อยู่ในคุก จึงนึกไม่ออกว่าเหตุใดฝ่ายเผด็จการจึงออกอาการลนลานกันขนาดนั้น

เหมือนอย่างที่รีบดักคออดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยที่พากันบินไปพบ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่สิงคโปร์ ระวังจะผิดกฎหมาย จนสุดท้าย วิษณุ เครืองาม ต้องออกมาแก้เก้อ ไม่ได้บอกว่าผิดและห้ามไป ที่กกต.เตือนดัง ๆ ระวังถึงขั้นยุบพรรคนั้น เป็นความหวังดี เพราะเกรงว่าจะมีคลิปหลุด เทปลับโผล่มาในอนาคตแล้วจะทำให้คนเหล่านั้นมีปัญหา

แหม! ไม่น่าเชื่อว่าอำนาจเผด็จการจะหวังดีต่อฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ของตัวเองมากถึงเพียงนี้ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน เพราะการออกตัวของเนติบริกรประจำรัฐบาล เป็นการปกป้องเพื่อไม่ให้มีใครนำเอากรณีอดีตส.ส.ที่ดอดไปพบทักษิณ มาเทียบเคียงกับที่ท่านผู้นำเร่ไปพบนักการเมืองตามจังหวัดต่าง ๆ ผ่านการประชุมครม.สัญจรนั่นเอง

ความเป็นกูรูด้านกฎหมาย หากมีใครยัดคำถามถึงมาตรฐานการพิจารณาการพบกันของนักการเมืองกับผู้มีอำนาจ เทียบเคียงนักการเมืองกับอดีตนายกรัฐมนตรี อย่างไหนที่จะมีอานิสงส์และเอื้อประโยชน์ทางการเมืองมากกว่ากัน จะตอบคำถามไม่ได้ ถึงจะข้าง ๆ คู ๆ แต่คนส่วนใหญ่ดูออก อะไรที่มันเป็นเรื่องจริง พูดจริง ปากกับใจมันจะตรงกัน แม้วิษณุจะเป็นคนที่ไม่เคยพูดตะกุกตะกัก แต่แววตาที่แสดงออกหลายครั้งที่พูดเรื่องที่ต้องซ่อนเร้นอำพราง คนจำนวนไม่น้อยเขารู้ทัน

ดังนั้น เพื่อเป็นการตัดปัญหาจึงต้องรีบจบเรื่องนักการเมืองไปพบทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ไม่เพียงแต่เกรงจะถูกถามเรื่องมาตรฐานเท่านั้น สิ่งที่กลัวมากไปกว่านั้นคือถ้าไปตีขลุมเอาว่าคนที่บินไปมีความผิด แล้วเกิดเป็นกลุ่มที่อยู่ในลิสต์ต้องดึงมาเป็นพวกมันจะยุ่งกันไปใหญ่ ด้วยเหตุนี้กูรูจึงต้องรีบบอกว่ากูรู้ และไม่ตอแยให้ต้องต่อความยาวสาวความยืดกันอีกต่อไป

ปมว่าด้วยพลังดูดที่ถูกจับตามองอย่างไม่กะพริบ ล่าสุด นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ก็แสดงตัวเป็นหมอเดา คาดเอาว่า เมื่อดูดกลุ่มพลังชล กลุ่มนครปฐม กลุ่มบุรีรัมย์ไปแล้ว เป้าหมายต่อไปคือกลุ่มสระแก้ว อันหมายถึงสายวังน้ำเย็นของ เสนาะ เทียนทอง นั่นเอง โดยรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จับเอาการไปจิบกาแฟกันของป๋าเหนาะกับ ไพศาล พืชมงคล ที่ปรึกษาพลเอกประวิตรมาเป็นตัวชี้วัด

เนื่องจากไพศาลพูดทำนองว่าเสนาะคงจะร่วมมือกันในการปฏิรูปประเทศ เท่านี้ก็มีความหมายเป็นนัยทางการเมืองได้ คงโทษใครไม่ได้ นิพิฏฐ์ในฐานะที่เห็นสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์ถูกดูดไปต่อหน้าต่อตา เพราะพากันไปคุยอย่างเปิดเผยที่ทำเนียบรัฐบาล ดังนั้นจึงอดคิดไม่ได้เมื่อเห็นการขยับของคนในรัฐบาลคสช.

ยิ่งท่านผู้นำหลุดคำพูดว่าดูดเป็นครรลองของประชาธิปไตยเสียด้วยแล้ว ปรากฏการณ์เลือกจิ้มจึงยังจะคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง พอฟัง รังสิมันต์ โรม บอกว่าเขาจะเลือกตั้งจนกว่าจะดูดส.ส.ได้ครบตามเป้าหมาย แม้จะไม่มีหลักฐานอะไรมารองรับเหมือนอย่างที่คนในรัฐบาลนี้ชอบถามหา แต่ก็ถือว่าเป็นการหยิบเอาเหตุการณ์ปัจจุบันมาเปิดแผลขยายผลการกระทำของคนในรัฐบาลเผด็จการได้เป็นอย่างดี

ในจังหวะที่ด้านหนึ่งพยายามจะเน้นการลงพื้นที่หาเสียง ตุนคะแนนไว้ก่อนทุกพรรคการเมือง แต่อีกด้านกลุ่มปัญหาความเดือดร้อนก็ยังเป็นหนามตำใจรัฐบาล อย่างที่บอกท่านผู้นำไม่ชอบให้ใครมากดดัน จึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายที่จะมีประโยคเด็ดหลุดมาจากปากต่อข้อเรียกร้องของกลุ่มพี-มูฟที่ปักหลักขอความชัดเจนจากรัฐบาลเรื่องที่ดินทำกิน

มีการเปรียบเทียบไปถึงข้าราชการที่ไม่มีที่ดินทำกิน และลามไปถึงข้าราชการสายศาลที่มีปัญหาจากปมบ้านพักเชิงดอยสุเทพ ประมาณว่าจะไปจัดหาที่ดินที่อยู่อาศัยให้ได้ทุกคนได้อย่างไร ความจริงหากท่านผู้นำไม่ฟังแต่รายงานของผู้ใต้บังคับบัญชา ก็จะเห็นเนื้อแท้ของสิ่งที่กลุ่มคนดังกล่าวได้เสนอไป แล้วก็เชิญกลุ่มเดือดร้อนมาพูดจาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เหมือนอย่างที่ สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ หนังหน้าไฟประจำรัฐบาลเป็นผู้เสนอ น่าจะเป็นทางออกที่นิ่มนวลและดูดีที่สุดสำหรับรัฐบาลเผด็จการ

พอเลือกที่จะใช้วิธีก่นด่าหรือแสดงอารมณ์ให้เห็นถึงความไม่พอใจ สังคมก็จับไต๋ได้ว่าท่านผู้นำเป็นคนอย่างไร คงจะอย่างที่ มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ว่า เป็นนายกฯต้องจริงใจต่อการแก้ไขปัญหาเกษตรกรไม่ใช่รำคาญ สบถ ก่นด่า คนที่นายกฯต้องด่าคือทีมงานของตัวท่านเอง ที่ทำอะไรไม่เป็น แก้ปัญหาอะไรไม่ได้

ประเด็นนี้เป็นที่รู้กันหลายเรื่องที่ท่านผู้นำหงุดหงิดนั้นก็เกิดจากความไม่เอาไหนของทีมงานนั่นแหละ แต่พฤติกรรมนายกฯที่ชอบแสดงออกว่าไม่พอใจนั้น หลายครั้งมันก็ได้นำมาซึ่งการสร้างความไม่พอใจต่อประชาชน รวมไปถึงภาคประชาสังคมด้วย และนั่นอาจจะเป็นจุดตั้งต้นหรือชนวนให้บ้านเมืองเดินหน้าไปสู่ความขัดแย้งไม่ลงรอยกันอีกก็เป็นได้

Back to top button