พาราสาวะถีอรชุน
ปากก็เที่ยวป่าวประกาศว่าไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือเร่งรัดดำเนินการต่อกรณีถอนพาสปอร์ตและถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร แต่การกระทำมันกลับตรงข้าม เพราะอาการเร่งรีบที่เห็นสะท้อนเจตนาได้เป็นอย่างดี สงสัยกลัวจะไม่ถูกใจคนสั่ง เลยทำให้ พลตำรวจเอกชัยยะ ศิริอำพันกุล ประธานคณะกรรมการพิจารณาถอดถอนนายใหญ่ จึงรีบส่งเรื่องให้ผบ.ตร.โดยกรรมการไม่ได้เซ็นรับรองมติ
ปากก็เที่ยวป่าวประกาศว่าไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือเร่งรัดดำเนินการต่อกรณีถอนพาสปอร์ตและถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร แต่การกระทำมันกลับตรงข้าม เพราะอาการเร่งรีบที่เห็นสะท้อนเจตนาได้เป็นอย่างดี สงสัยกลัวจะไม่ถูกใจคนสั่ง เลยทำให้ พลตำรวจเอกชัยยะ ศิริอำพันกุล ประธานคณะกรรมการพิจารณาถอดถอนนายใหญ่ จึงรีบส่งเรื่องให้ผบ.ตร.โดยกรรมการไม่ได้เซ็นรับรองมติ
กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาจริงๆ อย่างที่บอกไปวันก่อนคนที่เป็นประธานคือตำรวจที่เดินตามก้น สนธิ ลิ้มทองกุล จนได้ดิบได้ดี เป็นปฏิปักษ์กับทักษิณชัดเจนก็ยังตั้งมาทำหน้าที่นี้ มันจะไม่เข้าข่ายเรื่องของอคติและถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นธรรมได้อย่างไร นี่คือความไม่เนียน แต่ไม่จำเป็นต้องเหนียมเพราะอำนาจเบ็ดเสร็จทำอะไรก็ไม่มีใครกล้าหืออยู่แล้ว
นอกจากประเด็นความเร่งรีบที่ออกลูกพลาดให้เห็นแล้ว เจตนาอีกประการต่อการปลุกผีทักษิณมาหลอกหลอนผู้คนเพื่อเรียกกระแสจากฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณนั่นก็คือ ยั่วยุให้ฝ่ายสนับสนุนออกมาเคลื่อนไหว อันเห็นได้ชัดจากการแถลงข่าวของ พันเอกวินธัย สุวารี โฆษกคสช.ที่บอกว่าสถานการณ์ยังปกตินับตั้งแต่ยกเลิกพาสปอร์ตนายใหญ่
ตามมาด้วยการสั่งการผ่านไปยังผู้บัญชาการไปจนถึงระดับหัวหน้าสถานีตำรวจทั่วประเทศของ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้จัดกำลังเฝ้าระวังกลุ่มเคลื่อนไหวจ้องป่วนโดยใช้ภาษาว่าอันเป็นผลมาจากการยกเลิกหนังสือเดินทางของนักการเมืองบางราย ไม่จำเพาะเจาะจงแต่คนก็รู้กันทั้งประเทศ นี่เป็นความหวั่นไหวของฝ่ายความมั่นคงที่มีต่อกองหนุนของระบอบทักษิณโดยแท้
ถ้าเป็นเกมก็ต้องถือว่าเป็นการเดินเกมที่ตื้นเขินเสียเหลือเกิน ไม่มีทางที่ฝ่ายสนับสนุนหากหมายถึงกลุ่มนปช.จะออกมาเคลื่อนไหวใดๆ ไม่ใช่เพราะกลัวกฎหมายพิเศษ หากแต่เงื่อนไขมันไม่สุกงอมพอ สิ่งสำคัญที่ย้ำกันมาโดยตลอดวันนี้แกนนำและคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ได้ก้าวข้ามพ้นคนชื่อทักษิณไปแล้ว หัวใจหลักอยู่ที่ประชาธิปไตย
นั่นจึงทำให้ จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.ประกาศลั่น ไม่มีทางที่จะนำคนออกมาชุมนุมเรียกร้องใดๆ แม้จะมีความพยายามยั่วยุอย่างเต็มที่ กรณีของทักษิณไม่ว่าจะถูกถอนพาสปอร์ตหรือถอดยศตุ๊ดตู่ก็เชื่อว่าไม่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงในการดำเนินชีวิตของนายใหญ่ ขณะเดียวกันฝ่ายคนเสื้อแดงต่างก็เล็งเห็นว่าปล่อยให้รัฐบาลคสช.เดินหน้าทำงานกันไปให้สุดซอย
เพราะมาจนถึงนาทีนี้เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มีความล้มเหลวในการบริหารประเทศโดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องไปชุมนุมเพื่อให้เข้าทางตีนผู้มีอำนาจกลายเป็นแพะรับบาป ไม่ว่าจะมองมุมไหนการแก้ไขปัญหาไม่ว่าจะมิติใด ไม่มีหนทางสว่างแม้แต่น้อยสำหรับผู้กุมอำนาจรัฐ นับวันมีแต่สาละวันเตี้ยลงโดยเฉพาะปมปากท้องของพี่น้องประชาชน
การปลุกผีทักษิณขึ้นมารอบนี้โดยมุ่งหวังที่จะทำให้เห็นปฏิกิริยาจากฝ่ายสนับสนุน กลับเป็นเรื่องตรงข้าม เพราะมีแต่ฝ่ายต่อต้านเท่านั้นที่ยกมือหนุน ออกมาเชียร์กันสารพัด วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาอย่างสนุกปาก เป็นการปลุกปีศาจทักษิณขึ้นมาเพื่อให้พวกเดียวกันได้ระบายก็เท่านั้น โดยที่ผู้ถูกกระทำไม่ได้หวั่นไหวใดๆ
ในทางตรงข้ามคนที่ถูกเล่นงานกลับนั่งสมาธิ สงบสติอารมณ์ต่อหน้าพระพุทธรูป เพื่อแผ่เมตตาให้ฝ่ายอำนาจรัฐ พร้อมยกคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเตือนใจ “ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง” ทุกสิ่งไม่มีอยู่จริง เมื่อเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ก็ดับไป พาสปอร์ตก็เช่นกัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังเรียกร้องให้คนไทยมีเมตตาต่อกัน และฟันธงว่ากฎหมายและปืนไม่สามารถแก้ปัญหาได้
เป็นการตบหน้าผู้มีอำนาจไปอีกฉาดใหญ่ สรุปได้ว่า การปลุกปั่นให้เกิดปีศาจทักษิณขึ้นมาหลอนสังคมไทยอีกครั้งในปัจจุบันนี้ ล้วนเป็นอาการกลัวที่อยู่ในตัวตนของฝ่ายอำนาจรัฐทั้งสิ้น เป็นความกลัวปีศาจที่ไม่มีอยู่จริงว่ามีอยู่จริง รวมทั้งเป็นการยืนยันว่าปีศาจที่ก่อรูปขึ้นมาเพื่อให้หลอกคนไทยทั้งประเทศนั้น กลายเป็นภาพหลอนที่อยู่ในใจของฝ่ายผู้มีอำนาจจนยากจะสลัดออกไปได้
สำหรับประเด็นที่บอกว่าจะมีการดำเนินคดีนายใหญ่ตามมาตรา 112 นั้น จนถึงวันนี้มีเพียงแค่ พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ที่มอบหมายให้นายทหารพระธรรมนูญไปฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาททำให้กองทัพเสียหายเท่านั้น เรื่องนี้ถือเป็นปมละเอียดอ่อน ต้องฝากไปยังฝ่ายกุมอำนาจว่า ถ้าไม่จำเป็นมีหลักฐานชัดเจนอย่าดึงเอาเรื่องสถาบันมากล่าวหาใคร
เพราะบทเรียนที่ผ่านมาโดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงน่าจะรู้ดีกว่าใคร สถาบันถูกดึงมาแปดเปื้อนโดยน้ำมือของใคร เป็นการทำให้มัวหมอง นำมาเกลือกกลั้วกับความกระหายอยากที่ต้องการจะเอาชนะคะคานกันทางการเมือง นี่เป็นเรื่องที่ต้องตระหนักอย่าได้ใช้ปมเช่นนี้มาเล่นการเมือง ส่วนใครที่ผิดจริง มีพยาน หลักฐานชัดก็ต้องจัดการขั้นเด็ดขาด
น่าเห็นใจอยู่ไม่น้อยสำหรับ “เสี่ยตือ” สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ถูกป.ป.ช.สั่งให้ยึดทรัพย์มูลค่ากว่า 16 ล้านบาทด้วยข้อกล่าวหาร่ำรวยผิดปกติ ตั้งแต่สมัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเมื่อ 15 ปีที่แล้ว เวลาผ่านมานานมาก เลยอดไม่ได้ที่คนจะมองว่างานนี้มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่าโดยเฉพาะมิติทางทางการเมือง
ช่วงจังหวะที่รัฐธรรมนูญกำลังเข้มข้นและอาจจะเริ่มเข้าสู่โหมดจัดระเบียบเตรียมพร้อมสำหรับการเลือกขั้วทางการเมือง เพื่อการเลือกตั้งครั้งหน้า กรณีของเสี่ยตือน่าจะเป็นปมให้ศึกษา กรณีถูกกล่าวหาทุจริตก็ต้องไปว่ากันในชั้นศาล แต่หากเป็นอีกมุมเป็นสิ่งที่นักการเมืองทั้งหลายต้องตระหนัก ต่อไปนี้การที่แสดงความคิดเห็นบนหลักการหรือจุดยืนอย่างหนึ่งอย่างใด ต้องดำเนินไปอย่างระมัดระวัง อาจต้องสงบปากสงบคำกันมากขึ้น