พาราสาวะถี
สูตรสำเร็จเผด็จการไม่ว่ายุคไหนสมัยใด ประการหนึ่งคือคิดเรื่องการสืบทอดอำนาจ ประการหนึ่งคือทำลายความชอบธรรมฝ่ายต่อต้าน เหมือนอย่างคณะเผด็จการคสช.ที่แรกเริ่มเดิมทีตั้งต้นด้วยเหตุผลเข้ามาเพื่อให้บ้านเมืองสงบ ทำตัวเป็นกรรมการ ยุติความขัดแย้งของพวกเสื้อสี แต่อยู่มาครบ 4 ปี กลับกระโดดเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง
อรชุน
สูตรสำเร็จเผด็จการไม่ว่ายุคไหนสมัยใด ประการหนึ่งคือคิดเรื่องการสืบทอดอำนาจ ประการหนึ่งคือทำลายความชอบธรรมฝ่ายต่อต้าน เหมือนอย่างคณะเผด็จการคสช.ที่แรกเริ่มเดิมทีตั้งต้นด้วยเหตุผลเข้ามาเพื่อให้บ้านเมืองสงบ ทำตัวเป็นกรรมการ ยุติความขัดแย้งของพวกเสื้อสี แต่อยู่มาครบ 4 ปี กลับกระโดดเป็นคู่ขัดแย้งเสียเอง
ยิ่งช่วงโค้งสุดท้ายแห่งอำนาจที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเลือกตั้งตามสูตรชงเองกินเอง ยิ่งเห็นความพยายามในการที่จะขจัดเสี้ยนหนามทางการเมือง อันถือเป็นคู่แข่งสำคัญในสนามเลือกตั้งของคนต้องการอยู่ต่อ ปมแถลงข่าว 4 ปีคสช.ของพรรคเพื่อไทย วันนี้ไม่ได้มองกันแค่ว่าเป็นความพยายามในการที่จะเอาผิดแกนนำเท่านั้น แต่มองไปถึงเป้าหมายใหญ่คือการยุบพรรคกันโน่นเลย
หากพิจารณาจากฐานความผิด คงไม่มีใครมองไปไกลถึงขนาดนั้น แต่ด้วยความที่มันไม่ปกติ ทุกอย่างคือกฎหมายโดยเฉพาะคำสั่งของหัวหน้าและคณะเผด็จการเอง ขณะเดียวกันก็ไม่มีใครเชื่อมั่นว่าองค์กรอิสระที่จะทำหน้าที่ในการชี้ถูกผิดนั้นไว้วางใจได้ ดังนั้นเรื่องความพยายามจะยุบพรรคนายใหญ่เพื่อไม่ให้เป็นขวากหนามสำหรับพรรคคสช.และพรรคที่สนับสนุน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี จึงยังไม่อาจตัดออกไปจากสารบบของเกมแห่งอำนาจได้
สิ่งที่ต้องจับตามองกันต่อไปคือ การจะยุบคงไม่ทำในจังหวะที่ทำให้ลูกพรรคนายใหญ่ได้ไหวตัวหรือกลับตัวทัน นั่นหมายความว่าอาจจะไปยุบเอาในช่วงใกล้เลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่ วิษณุ เครืองาม ก็ออกมายืนยันว่าความผิดที่เห็นไม่น่าจะไปไกลถึงขั้นยุบพรรค แต่ไม่มีใครเชื่อ เพราะทุกคนต่างเห็นฤทธิ์เดชของเนติบริกรของคณะรัฐประหารในทุกองคาพยพมาหมดแล้ว
ส่วนคำ (พยายาม) อธิบายของ สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่ว่ารัฐบาลไม่ได้กลั่นแกล้ง แกนนำพรรคเพื่อไทยถ้ามั่นใจว่าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ก็ไม่ต้องโวยวายให้สู้ไปตามกระบวนการ ก็ถือเป็นการทำตามหน้าที่ของกระบอกเสียงที่ได้ดิบได้ดีจนถึงขั้นนั่งรักษาการอธิบดีกรมกร๊วก หากเป็นคนที่รู้อยู่แก่ใจก็จะรู้ดีว่า สิ่งที่ยกมาอ้างนั้นมันน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด
กฎหมายจากคำพูดของเผด็จการมันยากที่จะทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อมั่น เพราะในทางปฏิบัติและความเป็นจริงมันก็คือเครื่องมือสำหรับการปิดปากฝ่ายต่อต้าน เครื่องมือสำหรับเล่นงานและจัดการคนเห็นต่าง ส่วนผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างตำรวจก็ไม่ต้องพูดถึง แค่ศักดิ์ศรีของตัวเองแทบจะรักษาไว้ไม่ได้ ปล่อยให้ถูกจูงจมูกตามที่ผู้มีอำนาจต้องการเท่านั้น
เทียบเคียงกับสิ่งที่ 8 แกนนำพรรคเพื่อไทยถูกดำเนินคดี ฟัง พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยกข้อกฎหมายมาขู่กลุ่มอยากเลือกตั้งที่ห้ามเคลื่อนไปทำเนียบรัฐบาล แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ ก็ท่านบอกว่าชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นนิติบุคคล ถ้าเจ้าของสถานที่อนุญาตก็ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย สามารถทำได้แต่ถ้าเคลื่อนออกสู่พื้นที่สาธารณะเมื่อไหร่นั่นเป็นเรื่อง
ก็ชวนให้คิดต่อว่า แล้วกรณีแกนนำพรรคเพื่อไทยแถลงข่าวในอาคารสถานที่ของตัวเอง ซึ่งถือเป็นนิติบุคคล และตามรัฐธรรมนูญที่ถือเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศแล้วการแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ผลงานรัฐบาลก็ถือเป็นสิ่งที่สามารถจะทำได้ แต่นี่กลับงัดกฎหมายคณะเผด็จการมาเอาผิด พร้อมอ้างเรื่องของความมั่นคง ถือเป็นเรื่องที่น่ามึนงงในการตีความข้อกฎหมายของฝ่ายกุมอำนาจไม่น้อย
อย่างที่ ปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำพรรคอนาคตใหม่ว่า ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่ามีใครทำผิดกฎหมาย ผิดคำสั่งคสช. แต่เป็นความผิดปกติที่เราอยู่มานานจนคิดว่าสิ่งที่ไม่ปกตินั้นเป็นเรื่องปกติ ทั้งคำสั่งคสช. ข้อหาการจับกุม การกล่าวหาร้องทุกข์เป็นสิ่งผิดปกติทั้งนั้น และสถานการณ์เช่นนี้คงดำรงต่อไป ซึ่งไม่รู้ว่าจะนานเท่าไหร่ แม้กระทั่งมีเลือกตั้งแล้วทุกอย่างยังไม่ได้ดั่งใจผู้มีอำนาจ ทุกอย่างก็คงจะอยู่ในภาวะไม่ปกติตามความต้องการของคนกุมอำนาจต่อไป
เรื่องที่น่าขบขันในวินาทีนี้คงเป็นการข่าวของฝ่ายความมั่นคงที่ปูดออกมาว่า กลุ่มคนอยากเลือกตั้งมีแผนที่จะบุกยึดทำเนียบรัฐบาล เพื่อป่วนการประชุมครม. คนที่คิดและให้ข่าวเช่นนี้ถ้าไม่บ้าก็คงโง่ แต่ก็พอจะเข้าใจได้หากคิดถึงสูตรสำเร็จของเผด็จการ เช่นเดียวกับฝ่ายชุมนุมหากจะทำตามที่มีการกล่าวหาก็คงเป็นพวกบ้าและโง่ไม่แพ้กัน
มันจะเป็นไปได้อย่างไร เรื่องของการผสมโรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกฮาร์ดคอร์ที่มีการกล่าวอ้าง ถ้าให้มีการสะสมอาวุธแล้วนำมาก่อเหตุได้ อย่าว่าแต่ฝ่ายความมั่นคงแม้กระทั่งคสช.ก็ไม่ควรจะหน้าหนาอยู่บริหารประเทศอีกต่อไป ในภาวะที่อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดครองเมืองยังปล่อยให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ก็ไม่น่าจะเสียงบประมาณเลี้ยงดูให้เปลืองข้าวสุก
มาตรการเข้มงวดที่ตั้งด่านทั่วประเทศนั่นก็เป็นการคัดกรองหรือสกัดไม่ให้แนวร่วมที่จะมาเป็นกองหนุนของกลุ่มอยากเลือกตั้งได้เดินทางเข้ามากรุงเทพฯได้สำเร็จ บางจังหวัดถึงขั้นไปเฝ้าแกนนำกลุ่มการเมืองถึงประตูบ้านกันเลยทีเดียว ส่วนในพื้นที่เมืองหลวงก็สแกนและป้องกันกันทุกตารางนิ้ว ยิ่งในทำเนียบรัฐบาล พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ลงทุนสั่งการยกระดับรักษาความปลอดภัยด้วยตัวเองมาตั้งแต่ปีมะโว้ แล้วมันจะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นได้อย่างไร
แน่นอนว่า เห็นท่าทีของแกนนำกลุ่มอยากเลือกตั้งที่จะต้องเคลื่อนคนไปทำเนียบฯแล้ว ก็ถือเป็นการประกาศกร้าวแสดงความฮึกเหิม แต่หน้างานต้องประเมินกันอีกครั้งได้คุ้มเสียหรือไม่ ส่วนฝ่ายกุมอำนาจในโอกาสครบรอบ 4 ปีก็ควรจะแถลงกันทั้งองคาพยพ ไม่ว่าจะเป็นคสช. รัฐบาลหรือแม้แต่สนช. ที่ผ่านมาได้ทำอะไรให้ประชาชนแล้วบ้าง ถ้าดีจริงก็ไม่เห็นต้องหวั่นไหวอะไรกับสิ่งที่มีการโจมตี วิพากษ์วิจารณ์ เว้นเสียแต่ว่ามันมีแค่ราคาคุย โดยไร้มรรคผลใด ๆ นั่นก็อีกเรื่อง