เพลงยาวพยากรณ์ 2561
จดหมายน้อย ๆ หรือบันทึกในห้องขังโรงพักนางเลิ้งของ หญิงสาวชื่อ โบว์ หรือครูโบว์ หรือ ณัฏฐา มหัทธนา นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกลุ่มคนอยากเลือกตั้งและเพื่อนอีก 14 คน ได้ถูกจับตัวขังไว้ในห้องขังในข้อหาละเมิดคำสั่งเผด็จการของ คสช. มีความหมายต่อการเมืองไทยจากนี้ไปอีกนานนับปีทีเดียว เป็นบันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการเมืองไทยใต้อำนาจเผด็จการทหาร
พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล
จดหมายน้อย ๆ หรือบันทึกในห้องขังโรงพักนางเลิ้งของ หญิงสาวชื่อ โบว์ หรือครูโบว์ หรือ ณัฏฐา มหัทธนา นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกลุ่มคนอยากเลือกตั้งและเพื่อนอีก 14 คน ได้ถูกจับตัวขังไว้ในห้องขังในข้อหาละเมิดคำสั่งเผด็จการของ คสช. มีความหมายต่อการเมืองไทยจากนี้ไปอีกนานนับปีทีเดียว เป็นบันทึกประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการเมืองไทยใต้อำนาจเผด็จการทหาร
หากไม่เกินเลยไป ผู้เขียนมีลางสังหรณ์ว่า บันทึกและถ้อยคำที่โบว์ได้เขียนชี้แจงถึงการที่เธอถูกละเมิดสิทธิโดยเจ้าหน้าที่ใส่เศษกระดาษฝากออกมาแทนคำสื่อสาร นั้น อาจจะเป็นที่จดจารเท่ากับ หรือเหนือกว่าเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา ในประวัติศาสตร์ไทย และ/หรือ อนุทินประจำวันของ แอนน์ แฟรงก์ ในอดีต
โดยส่วนตัว ผลสะเทือนล่าสุดของการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิในการเลือกตั้งของประชาชนไทย ที่ถูกตำรวจและทหารในยุคทหารครองเมืองยามนี้ตั้งข้อหาร้ายแรงเลยเถิดอย่างลุแก่อำนาจ จะทำให้ฐานะของเธอทำให้คนลืม จีระนันท์ พิตร์ปรีชา เมื่อ 40 ปีก่อนไปสนิท
ใครที่ไม่ได้อ่านบันทึกในห้องขังของหญิงสาวคนนี้ ควรจะไปอ่านให้ชัดเจน เพื่อจะเข้าใจว่าคนหนุ่มสาวปัจจุบันที่เคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิพื้นฐานของประชาชนเช่นนี้ กำลังคิดอะไร และทำอะไร เพื่อที่จะให้กระโหลกคนไทยที่มืดบอดกับสงครามเสื้อสี และความเกลียดชังทักษิณ ชินวัตร กับพวก จะได้เปิดออกรับแนวโน้มใหม่ของสังคมที่คนหนุ่มสาวปัจจุบันต้องการ (เว้นแต่จะยอมกะโหลกหนาไปเรื่อยจากการเสวยสุขใต้ฝ่าเท้านายทหารเผด็จการ)
แล้วควรจะมองข้ามข้อกล่าวหาที่เกินเลยของนายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.ที่รับใช้เผด็จการจนสุดลิ่มทิ่มประตูด้วยข้ออ้างว่ามีการจ้างกลุ่มฮาร์ดคอร์มาจากสมุทรปราการด้วยหัวละ 1,000 บาทร่วมชุมนุมด้วย
ข้อความในบันทึกส่วนหนึ่งระบุ 2 ประเด็นว่า ” …1. ‘จับกุมหรือมอบตัว’ และ 2. กลั่นแกล้ง ‘กักขัง’ มิชอบ…”
ในประเด็นแรก โบว์ระบุว่า “..หลังจาก พ.อ.บุรินทร์ ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษแกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ก็ยังไม่ได้มีการออกหมายเรียก แต่แกนนำกลุ่มได้เป็นผู้เสนอกับตำรวจเอง ว่ายินดีให้นำตัวไปหลังอ่านแถลงการณ์ ซึ่งเท่ากับเป็นการเสนอ “มอบตัว” โดยไม่ได้มีการจับกุม แต่ในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหากลับใช้คำว่า “จับกุม” ซึ่งนอกจากจะไม่ตรงกับข้อเท็จจริงแล้ว ยังเป็นการกลั่นแกล้งเพื่อให้เกิดน้ำหนักในการยื่นคำร้องขอศาลฝากขัง และคัดค้านการประกันตัว โดยพนักงานสอบสวนต่อไป
ในประเด็นหลัง โบว์ก็ระบุว่า “…เจ้าหน้าที่อ้างอำนาจในการกักขังชั่วคราวก่อนส่งคำร้องขอฝากขัง ทั้งที่ไม่มีเหตุจำเป็น เพราะ ‘อิสรภาพของผู้ต้องหาไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน’ แต่พนักงานสอบสวนก็ยังกักขังกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ทั้งที่ได้เซ็นเอกสารการสอบปากคำเรียบร้อยแล้วหลังการมอบตัว คือ ไม่ตอบคำถามด้วยวาจา แต่จะส่งคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรตามสิทธิผู้ต้องหา อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ได้กักขังผู้ต้องหาทันที ซ้ำร้ายยังกลั่นแกล้งเพิ่มเติม ด้วยการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมจากเดิมที่มีถึงห้าข้อหาแล้ว เพื่อหาเหตุในการฝากขังต่ออีกหนึ่งวัน โดยอ้างว่าต้องสอบปากคำเพิ่ม ทั้งที่ไม่มีเหตุต้องกักขังเพื่อสอบ จึงเป็นการกักขังมิชอบ โดยคาดว่ามีแรงจูงใจ เพื่อไม่ให้กลุ่มคนอยากเลือกตั้งสามารถสื่อสารกับสังคมและสื่อมวลชนได้ และเพื่อเตรียมคำร้องขอฝากขัง โดยอ้างเหตุอันเป็นเท็จต่าง ๆ เพื่อให้ศาลเห็นตามจนถึงขั้นอาจไม่ให้ประกันตัว ซึ่งการกระทำเหล่านี้ไม่เพียงเป็นความพยายามที่ไม่สุจริต แต่ยังสะท้อนความตื้นเขินของเผด็จการ และสมุนรับใช้ โดยเฉพาะนายตำรวจระดับสูง ในการจะฟอกขาวให้ตัวเองและตบตาสังคม ใส่ร้ายป้ายสี เพื่อความได้เปรียบทางการเมือง และหวังว่า ประสบการณ์เลวร้ายในที่คุมขัง จะทำให้พวกเราเข็ดขยาด..”
ทั้งสองประเด็น บันทึกด้วยถ้อยคำเรียบง่าย แต่ชัดเจน ไม่ต้องใช้ภาษาสลวยแบบกวี หรือความคิดลึกซึ้งมากมาย ไม่ได้ตีโพยตีพายแต่เต็มไปด้วยใจจริง แค่นี้ก็เพียงพอจะเปิดโปงโฉมหน้าการทำงานอย่าง “สอพลอเผด็จการ” ของตำรวจไทยบางคนหมดเปลือก ใกล้เคียงกับบันทึกของแอนน์ แฟรงก์ เหยื่อของนาซีในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ที่น่าสนใจ ข้อความในบันทึกของโบว์จากห้องขังของอำนาจอธรรมนี้ ยังมีสาระที่ละม้ายกับข้อความในเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาที่ว่าด้วยความวิปริตจากการใช้อำนาจอย่างไร้นิติธรรมของผู้มีอำนาจ
“…เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนา จะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล
สัปบุรุษจะแพ้แก่ทรชน มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก
ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว คนชั่วจะมล้างผู้มีศักดิ์
ลูกศิษย์จะสู้ครูนัก จะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม…”
หากว่าเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา (ที่ไม่ระบุผู้เขียนชัดเจนนอกจากอ้างถึงพระนารายณ์เป็นเจ้านพบุรีทำนาย ซึ่งยากคาดเดา) ถูกแต่งขึ้นเลียนแบบมหาสุบินชาดก และนิทาน “พยาปัถเวนทำนายฝัน” ชาดกเกี่ยวกับพระสุบินนิมิตสิบหกประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งปรากฏอยู่ในหนังสือ “อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยา” เป็นกวีนิพนธ์ “การเมือง” เพราะมีเจตนาท้าทายอำนาจ บันทึกของโบว์ก็มีฐานะเช่นนั้นทุกประการ
ในการเมืองสยามครั้งอดีต เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา ถูกขุดรื้อฟื้นมานำเสนอไม่ต่อเนื่องโดยที่แต่ละครั้ง ถูกนำมาใช้เพื่อทำลายขวัญกำลังใจสาธารณะอันเป็นจิตวิทยาทางการเมือง เพราะบทกลอนดังกล่าวมีเนื้อความคล้ายกับร่ายของพระเจ้าสุริเยนทราธิบดีหรือพระเจ้าเสือที่ทรงประพันธ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในปฏิบัติการจิตวิทยาทางการเมืองเพื่อเล่นงานพระยาวิชาเยนทร์ (ไม่มีเรื่องนี้ปรากฏในละครช่องสาม) ในปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และต่อมาอีกหลายครั้ง ผู้นำในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ใช้ประโยชน์จากบทกลอนดังกล่าวมาอธิบายเหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยา โดยมีเป้าหมายในทางการเมืองที่ต่างไปจากพระเจ้าเสือ
การทำนายชะตาบ้านเมืองไปในทางเลวร้ายของเพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา ในอดีตที่ไม่มีสื่อแพร่หลาย ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายและเป็นการอัปมงคล หากเป็นการแต่งโดยบุคคลธรรมดาก็อาจจะถูกลงโทษสถานหนัก ดังนั้นผู้ที่สามารถทำนายกล่าวอ้างออกมาได้และทำให้ผู้คนยอมรับและจดจำกันได้นั้น ก็ย่อมต้องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญระดับชนชั้นนำที่กำลังต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ
บันทึกจากห้องขังของอำนาจเผด็จการของโบว์ ก็สามารถเป็น “การเมืองต่อต้านเผด็จการ” ในความหมายทำนองเดียวกัน เพียงแต่เกิดขึ้นในยุคที่สื่อกระแสหลักของไทยยามนี้ ยอมตนสิโรราบให้กับอำนาจเผด็จการด้วยข้ออ้างและเหตุผลนานัปการ ขาดสิ้นซึ่งฐานะ “ฐานันดรที่ 4” อันชอบอ้างกันพร่ำเพรื่ออย่างไร้สาระ และหาคนเชื่อได้น้อยลงเรื่อย ๆ มีคุณค่าต่ำกว่ากระดาษชำระในห้องส้วม
คำชมเชยของกวีนิรนาม “ฅนเก็บฟืน” เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่อุทิศให้กับโบว์ ที่ว่า
“..ยิ้มของเธอ..คือยิ้ม..ของผู้กล้า.
ยิ้มเธอท้า..อธรรม..ทั้งมวลผอง.
ยิ้มเธอเย้ย..อธรรม..ที่จำจอง.
ยิ้มเธอป้อง..สิทธิเสรี..ปวงประชา”
มีคำกล่าวเก่า ๆ ว่า สถานการณ์สร้างวีรชน ซึ่งกำลังย้อนกลับมา เพราะการถือกำเนิดที่โดดเด่นของโบว์ และบันทึกจากห้องขังของหญิงสาวผู้หาญกล้า มีเหตุปัจจัยหลักการการลุแก่อำนาจของ ลิ่วล้อ คสช.ที่พร้อมรับใช้สนองอำนาจเผด็จการนั่นเอง
จากนี้ไปอะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด