DDD โอกาสโตต่อเนื่อง

หลายฝ่ายยังมีมุมมองเป็นบวกต่อ DDD จากการที่บริษัทยังมีโอกาสขยายช่องทางการขาย เพื่อเพิ่มยอดขายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ


คุณค่าบริษัท

หลายฝ่ายยังมีมุมมองเป็นบวกต่อ บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD จากการที่บริษัทยังมีโอกาสขยายช่องทางการขาย เพื่อเพิ่มยอดขายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ปัจจุบัน DDD มีส่วนแบ่งตลาดในประเทศเป็นอันดับ 6 ในอุตสาหกรรม Facial Moisturizer มีส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้นจาก 3.7% เป็น 6% ในขณะที่บริษัทอื่นส่วนมากในเดือนเมษายนจากงวดเดียวกันของปีก่อนมีส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลง แม้ว่าบริษัทจะมีผลิตภัณฑ์เพียง 8 SKUs ซึ่งถือว่าน้อยกว่าบริษัทอื่น ๆ ใน Top 10 ค่อนข้างมาก

บริษัทมีช่องทางการจำหน่ายสินค้าผ่าน Duty Free จำนวน 4 สาขา ในไตรมาส 2 ปี 2561 จะเพิ่มขึ้นอีก 2 สาขา ได้แก่ Duty Free ภูเก็ต และดอนเมือง อีกทั้งบริษัทได้มีการเข้าซื้อกิจการ Oxe’ Cure ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่หลัง เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และทำให้แบรนด์มีความเป็นเวชสำอางมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน DDD เข้าไปขายใน King Power หลายสาขาเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มี 2 สาขา (ศรีวารีและสุวรรณภูมิ) โดยปีนี้เริ่มขายในสาขารางน้ำ (เดือน ก.พ.) สนามบินเชียงใหม่ (เดือน มี.ค.) ภูเก็ต (เดือน พ.ค.) และคาดจะเริ่มขายในสนามบินภูเก็ตภายในปีนี้ ส่วนการขายสินค้าแบบซองขนาดเล็กของ SnailWhite Gold ตั้งแต่เดือน มี.ค. ได้รับการตอบรับที่ดีโดยมีส่วนแบ่งในตลาด Modern trade เป็นอันดับ 5 หลังจากเริ่มขายได้ 2 เดือน

ส่วนตลาดในต่างประเทศบริษัทได้รับใบอนุญาต China Food and Drug Administration หรือ CFDA หรือเครื่องหมายอาหาร และยา หรือ อย. ในประเทศจีน ทำให้สามารถนำผลิตภัณฑ์หลักขยายไปยังช่องทางจัดจำหน่ายอื่นเพิ่มเติมได้ เช่น การขายผลิตภัณฑ์ส่ง หรือ Wholesale รวมถึงการขยายช่องทางจัดจำหน่ายแบบออฟไลน์ที่มีศักยภาพสามารถเข้าถึงลูกค้า และมีมูลค่าตลาดที่สูง

ล่าสุดบริษัทได้เริ่มจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่าน จูไห่ ดิวตี้ฟรี (Zhuhai Duty Free) ซึ่งถือว่าเป็นช่องทางการจำหน่ายสินค้าแห่งใหม่ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายจากการส่งออกได้ดียิ่งขึ้น และจะนำไปสู่การขายสินค้าแบบออฟไลน์ในอนาคต ซึ่งจูไห่ ดิวตี้ฟรี ตั้งอยู่บริเวณชายแดนกงเป่ย ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างเมืองจูไห่ประเทศจีนและมาเก๊า

ด้วยการที่บริษัทเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่องทั้งในประเทศและจีน คาดว่าผลประกอบการในปี 2561 จะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2560 เนื่องจากยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้จะเติบโตขึ้น

ขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2561 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 386.67 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 358.90 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เดิมที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลิตภัณฑ์ที่เริ่มจำหน่ายระหว่างปี 2560 ที่เริ่มรับรู้รายได้เต็มงวดในปี 2561 โดยผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นมากที่สุดยังเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 112.15 ล้านบาท หรือ 0.35 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 62.44 ล้านบาท หรือ 0.28 บาทต่อหุ้น

ในขณะเดียวกันทางนักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 105 บาท

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. นายสราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ 179,340,700 หุ้น 56.75%
  2. นายสรานนท์ พรพัฒนารักษ์ 22,275,000 หุ้น 7.05%
  3. NORTH HAVEN THAI PRIVATE EQUITY CLARITY COMPANY (HK) LIMITED 15,700,000 หุ้น 4.97%
  4. นางสรัญญา งามไพบูลย์สมบัติ 12,275,000 หุ้น 3.88%
  5. นายประชา ดำรงค์สุทธิพงศ์ 9,340,000 หุ้น 2.96%

รายชื่อกรรมการ

  1. พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ประธานกรรมการ
  2. พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ กรรมการอิสระ
  3. นายสราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
  4. นายสราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ รองประธานกรรมการ
  5. นายนิติโรจน์ มโนลม้าย กรรมการ

Back to top button