ตลกเลอะเทอะ ปตท.
2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระแส "ด่าปตท.ฟีเวอร์" กลับมาร้อนระอุอีกครั้ง ข้อกล่าวหาก็เดิม ๆ ซ้ำซากวนเวียนตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อนเช่น ปตท.เป็นสมบัติของทักษิณ ชินวัตร ทวงคืนสมบัติชาติ ราคาน้ำมันขายปลีกปตท.แพงสุดในโลก ...ฯลฯ
พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล
2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระแส “ด่าปตท.ฟีเวอร์” กลับมาร้อนระอุอีกครั้ง ข้อกล่าวหาก็เดิม ๆ ซ้ำซากวนเวียนตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อนเช่น ปตท.เป็นสมบัติของทักษิณ ชินวัตร ทวงคืนสมบัติชาติ ราคาน้ำมันขายปลีกปตท.แพงสุดในโลก …ฯลฯ
จะบังเอิญหรือสมคบคิดก็สุดคาดเดา ช่วงเวลาเดียวกัน ราคาหุ้นที่ซื้อขายในตลาดของ PTT ที่เพิ่งแตกพาร์มาไม่นาน ก็ดันบังเอิญร่วงแรงทำท่าจะหลุด 50.00 บาทเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังเป็นขาขึ้น และ ผลประกอบการของปตท.และบริษัทในเครือยังแข็งแกร่งต่อไป เพราะมีแรงขายหนัก
นักลงทุนในหุ้น PTT และกลุ่มคนสร้างกระแส “ด่าปตท.ฟีเวอร์” ไม่น่าจะเป็นคนกลุ่มเดียวกัน และไม่น่าจะคิดคล้ายกัน แต่มันมีเหตุปัจจัยที่ประจวบเหมาะกันโดยบังเอิญเช่นนี้ ต้องถือว่าเป็นคราวซวยของ ปตท.อย่างช่วยไม่ได้จริง ๆ
เข้าตำรา พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก เสียอย่างนั้น
ในมุมของเกมตลาดหุ้น การที่ราคาหุ้น PTT หลังแตกพาร์แล้วหุ้นก.ต. ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะการที่ PTT แตกจากราคาพาร์ 10 บาท เป็นราคาพาร์ 1 บาท ก็จะมีจำนวนหุ้นเพิ่มจาก 1 หุ้นเดิมกลายเป็น 10 หุ้นใหม่ เป็นเรื่องที่นักลงทุนเข้าใจกันอยู่แล้วทุกคน โดยเฉพาะในปีนี้ก็มีหุ้นใหญ่หลาย ๆ ตัวที่ได้ทำการแตกพาร์ เช่น SGP และ KCE
เพียงแต่กลุ่มนักลงทุนไร้เดียงสา หรือ “โลกสวย” กลุ่มหนึ่ง น่าจะยังงงและทำใจยอมรับไม่ได้ว่าหลังแตกพาร์แล้ว ทำไมหุ้นตกหนักและแรงกว่าตอนที่ยังไม่แตกพาร์ซะอีก
ก่อนหน้านี้ หากยังไม่ลืมกัน การแตกพาร์ของหุ้นใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่าง TASCO ที่แตกพาร์ 1:10 จากราคาหน้ากระดานจาก 70 บาทมาเป็น 7 บาท ก็กลายเป็นราคาสูงสุดใหม่ที่ 44 บาทได้ โดยในระหว่างทางก็มีการเขย่าหนัก ๆ ออกมาหลายรอบ
ปีที่ผ่านมา AOT ก็เคยแตกพาร์ จากราคาหน้ากระดานจาก 400 กว่าบาทมาเป็นราคาแถว ๆ 40 บาท แล้วก็ต้องใช้เวลาในการพักราคานานมากก่อนที่จะขึ้นมายืนราคาที่ระดับราคา 70 บาทในปัจจุบัน
บทเรียนในทางลบไม่มีใครอยากจำ ดังนั้น กรณีหุ้นแตกพาร์ตัวใหม่อย่าง PTT และ SGP ก็จะเห็นเกมการทำราคาที่แตกต่างออกไปเนื่องจากปริมาณหุ้นที่มหาศาล จึงอาจจะต้องใช้เวลาที่ยาวนานกว่าในอดีต ของหุ้นบางตัว
เรื่องราคาหุ้นของ PTT จึงไม่น่าหวาดวิตก แต่ที่น่ากังวลคือ กับดักทางปัญญาของคนที่ต่อต้าน ปตท. และบริษัทน้ำมันแห่งชาติ ที่เลือกทำตัวเป็นเต่าล้านปีในกระดองผุ แล้วฉวยโอกาสที่ราคาน้ำมันเป็นขาขึ้นงัดข้อมูลเก่าและเป็นเท็จมาเผยแพร่แบบ “ตาบอดคลำช้าง” จนกระทั่งคำโกหกกลายเป็นสัจธรรมขึ้นมาในความเห็นของพวกเขา
กระแสที่ถูกสร้างเลยเถิด ถึงขั้นมีบุคคลกลุ่มหนึ่งสร้างข่าวในโซเชียล และชักชวนกันให้เลิกใช้นำมันปั๊ม ปตท. ทำท่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อถือ ทั้งที่สถานการณ์ดังกล่าวหากเกิดขึ้นจริงก็เท่ากับคนไทยที่เชื่อกระแสนี้ถูกจูงจมูกให้เชื่อว่างาช้างจะงอกออกจากปากสุนัข
คนที่เชื่อและทำตามกระแสนี้ คือเลิกเติมน้ำมันปั๊มปตท. แต่ยังใช้รถยนต์และน้ำมันเท่าเดิม จึงเข้าข่าย “เกลียดตัว กินไข่ เกลียดปลาไหล กินน้ำแกง” โดยปริยาย
โดยข้อเท็จจริง เติมน้ำมันปั๊มไหน ๆ ก็จ่ายเงินราคาเท่ากันอยู่ดี อย่างมากที่แตกต่างกันคือ ห้องน้ำสะอาด หรือของสมนาคุณจำพวกส่วนลด สะสมแต้ม หรือ น้ำดื่มขวด เท่านั้นเอง
เพื่อให้เกิดความชอบธรรมในการยุแยงหรือเสี้ยม มีการเผยแพร่ข่าวผ่านสื่อออนไลน์ที่ตลกมากว่านายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ซึ่งปกติจะเป็นคนที่ “ปากหนัก” อย่างมาก) กระทำการเสียสติถึงขั้นออกให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า ” ..ถึงจะไม่มีคนไทยใช้น้ำมันดีเซลของปั๊มปตท. แต่บริษัทยังมีการกระจายน้ำมันในเครือข่ายต่างชาติจำนวนมากซึ่งมีผลกำไรเป็น 80% ที่ไทยเพียง 10% เท่านั้น จึงไม่มีผลทำให้บริษัทขาดทุนแต่อย่างใด ถึงประชาชนคนไทยจะไม่ใช้น้ำมันดีเซลของปั๊มปตท. เราก็ไม่ง้อท่านให้มาเติม ดังนั้นทางบริษัทจึงขอปลดพนักงานจำนวน 10,000 คนทั่วประเทศ มีผลตั้งแต่ วันที่ 1 มิถุนายนเป็นต้นไป เพื่อรักษาสภาพสถานะของบริษัทหากไม่มีผู้ใช้บริการทางบริษัทไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานต่อไป…”
หากพิจารณาด้วยสติ จะเห็นว่า คำพูดที่เผยแพร่ดังกล่าว ไม่สมเหตุสมผลน่าเชื่อถือเอาเสียเลย เพราะ 1) น้ำมันสำเร็จรูปส่วนใหญ่ในไทย กลั่นจากโรงกลั่นเครือ ปตท. จะเติมปั๊มปตท.หรือไม่ก็ไม่ทำให้ยอดขายน้ำมันโรงกลั่นลดลง 2) ปั๊ม ปตท.ส่วนใหญ่ไม่ได้มี ปตท. เป็นเจ้าของ เพียงแต่ใช้แฟรนไชส์ของ ปตท.เท่านั้น ปตท.จะเที่ยวไปปลดพนักงานปั๊มเป็น 10,000 คนได้อย่างไร
ในอดีต ปตท.ก่อนวิกฤตต้ำยำกุ้ง มีฐานะเป็นผู้ค้าน้ำมันธรรมดา แต่วิกฤตที่เกิดขึ้น ทำให้มีการปรับโครงสร้างมากมาย เข้าไปโอบอุ้มโรงกลั่น โรงงานปิโตรเคมีหลายระดับ พร้อมกับระดมทุนในตลาดหุ้น ทำให้กิจการใหญ่โตเสียจนธุรกิจค้าปลีกน้ำมันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธุรกิจโดยรวมทั้งหมด และภายในปีหน้าก็จะจัดทัพใหม่แยกธุรกิจค้าปลีกออกเป็นอิสระ โดยที่ ปตท.กลายเป็นบริษัทโฮลดิ้งเต็มตัว
ข้อเท็จจริงที่ว่ามา ทำให้การสร้างกระแสเลิกเติมน้ำมันปั๊ม ปตท. นอกจากเป็นเรื่องตลกหน้าม่านของคนโง่ที่อวดฉลาดแล้ว ผลลัพธ์จะตรงกันข้ามเสียด้วยซ้ำ
ยิ่งข้อเรียกร้องให้หันไปเติมปั๊มเอสโซ่ หรือ เชลล์ ที่เป็นแฟรนไชส์ของต่างชาติแทนด้วยแล้ว (แทนที่จะหันไปเชียร์ให้เติมปั๊มเครือ PT หรือ บางจาก ของคนไทยล้วน ๆ) แม้จะไม่ถึงกับเข้าข่าย “เชียร์ต่างชาติ” เสียทีเดียว แต่ยังขายขี้เท่อ เพราะในช่วง 15 ปีมานี้ ปั๊มแฟรนไชส์ต่างชาติ พากันถอนตัวหรือลดเพดานการแข่งขันลง เหลือไว้แต่แค่สัญลักษณ์เท่านั้น
น่าแปลกคือไม่มีใครกล้าบอกว่าปั๊มน้ำมันเครือ เอสโซ่ หรือ เชลล์ นั้นยามนี้มียอดรวมทั่วประเทศ ไม่ถึง 1,000 แห่งเท่านั้น ถ้าเจาะจงจะไปเติมของต่างชาติทั้งสอง รถยนต์อาจจะต้องน้ำมันหมดถังเสียก่อนได้
ที่น่าประหลาด ในการชี้แจงของฝ่ายที่พยายามกลบกระแส “ด่า ปตท.ฟีเวอร์” ก็อ้างข้อมูลหรือเหตุผลที่แม้จะไม่เท็จ แต่ก็ไม่มีพลังมากพอในการตอกย้ำความชอบธรรมของธุรกรรม ปตท.
ตัวอย่างเช่น เฟซบุ๊กของ นายปิยะสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการ ปตท.ล่าสุด ก็มีลักษณะ “สีข้างเข้าถู” ที่ชวนหมั่นไส้มากกว่าได้คะแนนเพิ่ม
คำกล่าวอ้างถึงข้อมูลยุค น้ำมันสามทหาร ที่ว่า “…สมัยนั้น ผมเศร้าใจที่คนไทยไม่เติมน้ำมันสามทหารของคนไทย กลับเอาเงินไปให้พวกฝรั่งที่ฮั้วตั้งราคามากอบโกยคนไทย ถ้าคุณอายุน้อยก็ไปถามพ่อคุณว่าจริงไหม”
“ปตท.คือสมบัติของชาติของคนไทยทุกคน แหล่งน้ำมันสำรองก็เป็นของคนไทย ชาติได้ประโยชน์ กระทรวงการคลังถือหุ้น 51% กองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนวายุภักษ์ กองทุนประกันสังคม รวมกัน 22% รวมทั้งสิ้น 73% นอกนั้นนักลงทุนต่าง ๆ 27% ตามหลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ”
“คราวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่า ปตท.เป็นรัฐวิสาหกิจของชาติไทย ใครจะไม่เติม ปตท.ไม่ว่ากัน เป็นสิทธิของคุณครับ แต่จงคิดไว้ว่า ถ้าไม่มีน้ำมันของคนไทย แล้วฝรั่งมันฮั้วกัน พวกคุณจะทำอย่างไร เหมือนสมัยนั้นที่ผมได้แต่เจ็บใจแต่ยังไม่มีปัญญามีรถเติมน้ำมัน”
“ถ้าไม่มี ปตท.น้ำมันจะยิ่งแพงกว่านี้ เพราะพวกต่างชาติมันกำหนดราคากันเอง ที่ไม่แพงเพราะ ปตท.ดึงราคาไว้ต่างหาก คิดให้ดีถ้า ปตท.กำไรจากการขายน้ำมันมากจริง เชล์-คาลเท็กซ์-เอสโซ่ ก็ต้องกำไรมากด้วย แล้วทำไมไม่ลดราคาให้ต่ำกว่า ปตท.มาก ๆ คนจะได้ไม่ไปเติม ปตท. …”
พูดกันแบบ “ไปไหนมา สามวาสองศอก” แบบนี้ เถียงกันสัก 10 ชาติ ก็คงไม่จบ