เพิ่มน้ำหนักหุ้น 40%
ตลาดหุ้นไทย เข้าสู่เดือนที่ 6 ของปี 2561 แล้ว หรือผ่านมาเกือบครึ่งปีแรก ดัชนีสิ้นปี 2560 ปิดที่ 1,753.71 จุด
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
ตลาดหุ้นไทย เข้าสู่เดือนที่ 6 ของปี 2561 แล้ว
หรือผ่านมาเกือบครึ่งปีแรก
ดัชนีสิ้นปี 2560 ปิดที่ 1,753.71 จุด
แต่วานนี้ดัชนีปิด 1,721.09 จุด หรือเท่ากับว่า ดัชนีร่วงไปกว่า -1.89%
นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิออกไป 1.31 แสนล้านบาท
หากเป็นหลายปีก่อนหน้านี้ และนักลงทุนต่างชาติขายกันสนุกสนานแบบนี้ ดัชนีป่านนี้น่าจะร่วงลงไปเป็นหลักร้อยจุดแล้วล่ะ
ทว่า ทุกวันนี้ นักลงทุนสถาบันมีความเข้มแข็งขึ้น
โดยเฉพาะนักลงทุนประเภทกองทุนต่าง ๆ รวมถึงนักลงทุนรายย่อยด้วย
พอต่างชาติขายลงมาหนัก ๆ
นักลงทุนทั้งสองประเภท ก็เข้ามาช่วยกันรับซื้อไว้ เก็บของดี ราคาถูก ๆ เข้าพอร์ต
ปรากฏการณ์นี้ แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนภายในประเทศไทยมีความเข้มแข็งมากขึ้น เก่งขึ้น และหลาย ๆ ครั้ง ก็เทรดหุ้นจนต่างชาติต้องน้ำตาเช็ดหัวเช่า กลับบ้านไป
วานนี้ เห็น บล.เอเซีย พลัส ทำตัวเลขสำคัญของหุ้นกลุ่มต่าง ๆ ช่วง 5 เดือนแรกออกมา
พร้อมกับมุมมองตลาดหุ้นต่อไปว่าจะเป็นยังไง
เริ่มจากระบุว่า หุ้นที่ปรับลงมา 1.89% มีกลุ่มมาร์เก็ตแคปใหญ่ที่กดดันตลาดมากสุด 3 กลุ่ม
เริ่มจาก กลุ่มแบงก์พาณิชย์ มาร์เก็ตแคปคิดเป็น 12.6% ของทั้งตลาด ปรับตัวลดลงถึง 9.7% นับจากต้นปี
เหตุผลจากความกังวลเรื่องรายได้ค่าธรรมเนียมผ่านระบบออนไลน์ ที่จะเริ่มเห็นการลดลงชัดเจนในไตรมาส 2/2561 กดดันกำไรสุทธิรวมปีนี้ โตไม่โดดเด่น
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง มีมาร์เก็ตแคป 4.8% ของทั้งตลาด ลดลง 7.9%
หลัก ๆ มาจากหุ้น SCC ที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ต่ำกว่าคาด ขณะที่ความต้องการใช้วัสดุก่อสร้างยังซบเซา
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง มีมาร์เก็ตแคป 1% ของทั้งตลาด ปรับตัวลดลงถึง 11% ฉุดด้วยการเปิดประมูลโครงการภาครัฐที่ล่าช้า ทำให้ความน่าสนใจของกลุ่มนี้ลดลง
ขณะที่กลุ่มพลังงาน มีมาร์เก็ตแคปคิดเป็น 22.4% ของทั้งตลาด ปรับขึ้น 4.6%
พลังงาน ยังเป็นกลุ่มหลักที่ช่วยประคองตลาด ผลจากกำไรไตรมาส 1/2561 ดีกว่าคาด เพราะได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง
ในมุมมองของเอเซีย พลัส เชื่อว่า จากนี้ไป กลุ่มที่ชี้นำตลาดจะกลับทิศทางครับ
กลุ่มพลังงานจะไม่นำตลาดแล้ว
ปัจจัยจากการประชุม OPEC วันที่ 22 มิ.ย.นี้ อาจกลับมาเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันอีกครั้ง เพื่อชดเชยส่วนที่หายไปจากอิหร่านและเวเนซุเอลา รวมทั้งกำลังการผลิตของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้ จะจำกัดการขึ้นของราคานั้น
พอมาดูตัวแปรกลุ่มแบงก์ วัสดุก่อสร้าง และรับเหมาก่อสร้าง ที่อันเดอร์เพอร์ฟอร์มตลาด
กลับพบว่าจะกลับมาฟื้นตัว เหตุผลดังต่อไปนี้
กลุ่มแบงก์ คาดรายได้ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ช่วยชดเชยผลกระทบรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลง จากเศรษฐกิจเติบโตดีกว่า
และจะช่วยหนุนการเติบโตของสินเชื่อปีนี้
ส่วนเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น จนอาจแตะ 2% ในเดือน ก.ย. จึงเป็นไปได้กนง.จะขึ้นดอกเบี้ยไตรมาส 4/2561 เป็นบวกต่อกลุ่มแบงก์
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และรับเหมาก่อสร้าง ได้เซนติเมนท์จากความคืบหน้าการเปิดประมูลงานภาครัฐ
เช่น ทางด่วนดาวคะนอง-พระราม 3 จะเปิดประมูลเดือน มิ.ย. ส่วนโครงการอื่น ๆ จะทยอยตามมาครึ่งปีหลัง ทำให้ทั้ง 2 กลุ่มนี้ เริ่มกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
และแม้ว่ามาร์เก็ตแคปกลุ่มแบงก์ วัสดุก่อสร้าง รับเหมาก่อสร้าง รวมกันคิดเป็น 18.4% ของตลาด ใกล้เคียงมาร์เก็ตแคปกลุ่มพลังงาน ทำให้ดัชนีขยับได้ไม่มาก
แต่ Valuation หุ้นไทยที่ปรับฐานจน Expected P/E ลงมา 15.6 เท่า
ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเป้าหมายอิง P/E ที่ 16.5 เท่า อยู่ที่ 1,815 จุด เทียบปัจจุบัน มีอัพไซด์ราว 5.5% ที่บริเวณใกล้ 1,700 จุด
นี่จึงเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุน
เอเซีย พลัส ได้ปรับเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นเป็น 40% จากเดิม 30%
ให้เน้นไปที่หุ้น Domestic Play คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เลือก CK, ITD
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เลือก SCC กลุ่มแบงก์ เลือก BBL, KBANK, TCAP
มุมมองของบล.เอเซีย พลัส จะเหมือน ๆ กับ โบรกฯ แห่งอื่น ๆ
ที่ต่างมองว่า หุ้นไทยครึ่งปีหลัง
เสมือนเป็นฟ้าหลังฝน