พาราสาวะถี

ไม่รู้ได้สัญญาณอะไรดีมาหรือเปล่า ให้สัมภาษณ์นักข่าวก่อนประชุมครม.วันวาน ดอน ปรมัตถ์วินัย กระแซะคนสัมภาษณ์หลายรอบ เรื่องที่ถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอันเนื่องมาจากมติกกต.เรื่องเมียถือหุ้นเกินร้อยละ 5 โดยไม่แจ้งต่อป.ป.ช. คำตอบเป็นอย่างไรให้ดูจากสีหน้าคนให้สัมภาษณ์


อรชุน

ไม่รู้ได้สัญญาณอะไรดีมาหรือเปล่า ให้สัมภาษณ์นักข่าวก่อนประชุมครม.วันวาน ดอน ปรมัตถ์วินัย กระแซะคนสัมภาษณ์หลายรอบ เรื่องที่ถูกกดดันให้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอันเนื่องมาจากมติกกต.เรื่องเมียถือหุ้นเกินร้อยละ 5 โดยไม่แจ้งต่อป.ป.ช. คำตอบเป็นอย่างไรให้ดูจากสีหน้าคนให้สัมภาษณ์

ปรากฏว่าเจ้ากระทรวงบัวแก้วมีสีหน้ายิ้มแย้ม นั่นหมายความว่า น่าจะไม่มีปัญหาอะไรให้ต้องกังวล ก่อนที่เจ้าตัวจะบอกว่าหุ้นของภรรยาเป็นมรดกตกทอดมากว่า 30 ปี เวลานี้ก็โอนไปให้ลูกชายถือครอง โดยภรรยาเหลือหุ้นไม่ถึงร้อยละ 5 แล้ว แสดงว่าเห็นทางออกมีทางลงไว้แล้วว่างั้นเถอะ ถ้าเช่นนั้นปลายทางที่จะชี้ขาดอย่างศาลรัฐธรรมนูญคงไม่ต้องลำบากใจ

ส่วนใครที่เย้ว ๆ เรียกร้องให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องปรับออกฟังคำตอบที่ว่าใครอยู่ได้ก็อยู่ ใครอยู่ไม่ได้ก็ออกไป คงจะชัดเจนอยู่ในตัวไม่ต้องมาเซ้าซี้ตอแย เมื่อมีทางแก้หาทางออกกันไว้เช่นนี้ จึงไม่มีอะไรต้องหนักใจ ส่วนเรื่องความสง่างามหรือบรรทัดฐานอะไรก็สุดแท้แต่จะคิด ความจริงน่าจะเห็นกันตั้งแต่กรณีไมค์ทองคำมาแล้ว มีอย่างที่ไหนแค่ส่วนต่างมากไปไม่ใช่การทุจริต เท่านี้ก็เห็นอาการตะแบงกันแล้ว

ไม่ต้องนับรวมกรณีอื่น ๆ ทั้งเอาเงินค่าหัวคิวในโครงการอุทยานราชภักดิ์ไปบริจาคก็ไม่ผิดแล้ว หรือแม้แต่กระทั่งเรื่องที่ตั้งใจทำให้เงียบสอบกันมาจะ 3 ปีแล้วยังไร้ความคืบหน้าคือโครงการขุดลอกคลองขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกฯ  หรือแม้แต่กระทั่งกรณีใช้บ้านพักทหารทำเป็นออฟฟิศบริษัทเอกชนรับงานจากทหาร เท่านี้ก็เห็นแล้วว่า มาตรการปราบปรามการทุจริตของเผด็จการคสช.นั้น เอาจริงเอาจังหรือลูบหน้าปะจมูกกันแน่

ดังนั้น สิ่งที่ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เรียกร้องว่า ทำไมไม่ปฏิบัติเหมือนรัฐมนตรี 3 คนในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ คือ อารีย์ วงศ์อารยะ อดีตรัฐมนตรีมหาดไทย สิทธิชัย โภไคยอุดม อดีตรัฐมนตรีไอซีที และ อรนุช โอสถานนท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ที่ป.ป.ช.ในขณะนั้นตรวจพบว่าถือหุ้นเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ ก็แสดงสปิริตลาออก คงไม่ต้องบอกว่าคำตอบที่ได้จะเป็นอย่างไร

ต้องอย่าลืมว่า รัฐบาลปัจจุบันเป็นคณะเผด็จการที่ยึดอำนาจมาบริหารเองทั้งหมด จึงใช้ความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจัดการทุกเรื่อง มิเช่นนั้น คงไม่มีมาตรา 44 เป็นยาวิเศษประจำตัวท่านผู้นำ ต่างจากรัฐบาลขิงแก่ที่ได้รับสัมปทานมาจากคณะรัฐประหารคมช. พอถูกกระแสสังคมกดดันหนักเข้าคนเหล่านั้นจึงหน้าบางแสดงสปิริต นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่าเสียของ ซึ่งต้องไม่เกิดขึ้นกับรัฐบาลคณะนี้

แม้จะมีต้นทุนมาจากความเป็นฐานันดรคนดีที่ยกหางกันเอง แต่เรื่องความหนาบางนั้นมันต่างกัน ยังไม่นับรวมถึงการใช้เล่ห์เหลี่ยมหรืออภินิหารทางกฎหมายไปในเรื่องต่าง ๆ ขนาดนักการเมืองประเภทเขี้ยวลากดินยังสะดุ้งกันเป็นแถว ไม่คาดคิดว่าจะเดินเกมกันแบบนี้ ก็มีกฎหมายปิดปากเสียอย่าง ใครหน้าไหนจะกล้าสะเออะวิพากษ์วิจารณ์หรือตรวจสอบอย่างเอาเป็นเอาตาย

ทางรอดใส ๆ ของดอนในแง่ของกฎหมายตามคำ (พยายาม) อธิบายของเจ้าตัวเรื่องที่มาของหุ้นและการระบายหุ้นแล้ว ฟัง วิษณุ เครืองาม เนติบริกรประจำรัฐบาล ก็มองเห็นทางสู้เพราะวิษณุย้ำมาหลายหน เหตุใดกกต.จึงมีมติในเรื่องนี้ 2 ต่อ 2 แต่ผู้ที่ชี้ขาดคือ ศุภชัย สมเจริญ ประธานกกต. จึงเป็นที่คาดการณ์ได้ว่ากกต.ยังมีข้อสงสัยในเรื่องนี้อยู่ แต่ที่ประธานกกต.ชี้ขาดจะได้นำไปเป็นบรรทัดฐานในเรื่องอื่น

ทำไมวิษณุจึงเลือกจี้จุดตรงนี้ จนทำให้คนจำนวนไม่น้อยอดคิดไม่ได้ว่านี่เป็นการชี้ช่องให้เห็นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ ขณะเดียวกันการตบท้ายว่าเสียงชี้ขาดของประธานกกต.ทั้งที่ยังมีข้อสงสัยเพื่อนำไปเป็นบรรทัดฐานเรื่องอื่นนั้น น่าสนใจว่า เรื่องอื่นในความหมายของเนติบริกรรัฐบาลนั้นคืออะไร

ยังจะมีประเด็นอะไรให้กกต.รักษาการต้องทำอีกหรือ เพราะเป็นที่เชื่อกันว่าอีกไม่นานกกต.ชุดใหม่ทั้ง 7 คนก็น่าจะได้รับการทำคลอดจากที่ประชุมสนช. โอกาสที่จะถูกยกมือตีตกเหมือนหนก่อนไม่น่าจะเกิดขึ้น หากเป็นเช่นนั้นจะสร้างความเสียหายให้กับคณะกรรมการสรรหาเป็นอย่างมาก ดังนั้น จึงไม่มีทางเลือกอื่น แม้จะมีบางรายจาก 7 รายชื่อที่ถูกยื่นร้องเรียนเรื่องคุณสมบัติก็ตาม

ถูกเบรกหัวทิ่มกรณี สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศจะใช้รองเท้าคู่เดิมช่วงก่อม็อบชัตดาวน์เดินหาสมาชิกพรรครวมพลังประชาชาติไทยทั่วประเทศ โดย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ประกาศกร้าว ยังไปทำกิจกรรมทางการเมืองตอนนี้ไม่ได้เพราะยังไม่ปลดล็อกคำสั่งคสช. แม้จะเดินไปคนเดียวแล้วมีผู้ร่วมสนับสนุนก็ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของการเมือง

ถือเป็นแอ็กชั่นทางการเมืองที่ต้องทำเช่นนี้ มิเช่นนั้น จะถูกครหาว่าหลิ่วตาข้างหนึ่งให้เทพเทือกในฐานะผู้สนับสนุนหลักของหัวหน้าเผด็จการคสช. ทำอะไรก็ได้ตามใจฉัน จึงต้องมีพิธีกรรมปรามกันไว้ก่อน ซึ่งก็ไม่ต้องไปถามคนถูกสั่งห้าม เชื่อได้ล้านเปอร์เซ็นต์ว่าพร้อมจะปฏิบัติตามด้วยความยินดียิ่ง ส่วนประเด็นปลดล็อกบิ๊กป้อมยังตอบไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับการหารือกับพรรคการเมืองที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด

ขณะที่พรรคซึ่งเชื่อกันว่าจะเป็นนอมินีหรืออาจจะประกาศตัวกันชัดเจนกันในอนาคตอันใกล้ว่าเป็นพรรคของคสช. ซึ่งจะมีรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ไปนั่งกุมบังเหียน อย่างพลังประชารัฐก็ให้เด็กในคาถาของ สมศักดิ์  เทพสุทิน ออกมาประกาศรายชื่ออดีตส.ส.และส.ว.ที่จะเข้าร่วมงานกับพรรค ดูแล้วเป็นอดีตจริง ๆ คืออดีตส.ส.ที่สอบตกมาแล้วหลายรอบ

หรือถ้าจะพูดให้ชัดคือเป็นอดีตส.ส.ซึ่งไม่เป็นที่ต้องการของพรรคนายใหญ่ รวมไปถึงพวกที่แยกตัวหรือถูกเขี่ยพ้นมาจากพรรคขนาดกลางอย่างภูมิใจไทย แต่ยังเป็นพวกที่พอมีฐานเสียงในพื้นที่อยู่บ้าง แน่นอนว่าเป้าหมายเก็บตกของคนถือครองอำนาจคือคะแนนเสียงจากระบบปาร์ตี้ลิสต์เป็นหลัก ถ้ามาตรการเติมกระสุนตรงเป้าก็อาจจะเบียดแซงเข้าวินในระบบเขต มิหนำซ้ำ เกิดพรรคเพื่อไทยถูกยุบขึ้นมาจริง ๆ คนพวกนี้ก็จะส้มหล่นโครมเบ้อเริ่ม การเมืองที่ไม่ปกติเช่นนี้อะไรย่อมเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น

Back to top button