ราคาหุ้นบลูชิพทรุดมากกว่าเด้ง

ภาพรวมตลาดหุ้นไทยช่วงเดือนพฤษภาคม 2561 ยังแกร่งในทิศทางอ่อนตัวลงเป็นหลัก เนื่องจากยังไร้ปัจจัยใหม่หนุน ประกอบกับระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวมีความกังวลการค้าสหรัฐฯ-จีน เข้ามากดดันด้วย รวมถึงยังวิตกเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) หลัง Bond Yield ของสหรัฐฯ ยังพุ่งเกิน 3% และกังวลเศรษฐกิจกลุ่ม Emerging Market อาจชะลอตัวทำให้เกิด Sentiment ลบ กระทบต่อตลาดหุ้นไทยด้วย

ที่สำคัญในช่วงเดือนพฤษภาคมบอกเลยว่า นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิจำนวน 51,859.22 ล้านบาท ส่วนจากต้นปีถึงปัจจุบันต่างชาติขายสุทธิไปแล้ว 131,610.23 ล้านบาท ยิ่งทำให้เป็นแรงกดดันตลาดหุ้นไทย ทำให้ภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยเดือนพฤษภาคมปรับลง -0.03% หรือลงไป 53.14 จุด (จากวันที่ 30 เม.ย. 2561 ดัชนีปิด 1,780.11 จุด เทียบกับวันที่ 31 พ.ค. 2561 ดัชนีปิด 1,726.97 จุด)

นอกจากปัจจัยต่าง ๆ แล้วยังมีแรงกดดันมาจากกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ (บลูชิพ) เพราะยังโดนเทขายออกมาเป็นส่วนใหญ่ โดยจากภาพรวมดัชนีตลาดหุ้น SET50 พบว่า ปรับลง -3.93% หรือลงไป 46.26 จุด (จากวันที่ 30 เม.ย. 2561 ดัชนีปิด 1,780.11 จุด เทียบกับวันที่ 31 พ.ค. 2561 ดัชนีปิด 1,726.97 จุด)

ขณะที่แยกเป็นรายตัวของหุ้นบลูชิพมีทั้งหมด 50 ตัว พบว่า ราคาหุ้นปรับตัวลงจำนวน 32 ตัว  ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจำนวน 16 ตัว และราคาหุ้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวน 2 ตัว หุ้นดังกล่าวแยกดังนี้

• หุ้นที่ราคาปรับตัวลง ได้แก่ KCE, SAWAD, BEAUTY, MINT, MTC, CENTEL, DTAC, PTTGC, ADVANC, PTT, CPALL, KKP, TISCO, IRPC, TRUE, CPN, SCC, BJC, TCAP, ROBINS, INTUCH, TU, AOT, KTB, IVL, GPSC, HMPRO, TOP, BBL, KBANK, SPRC และ CBG
• หุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้น ได้แก่ BDMS, WHA, BTS, BANPU, EGCO, EA, BEM, TMB, CPF, BPP, GLOBAL, SCB, BH, LH, TPIPP และ PTTEP
• หุ้นที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลง ได้แก่ BCP, PSH

ส่วนรายละเอียดความเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นช่วงเดือนพฤษภาคม 2561 ดูจากตารางประกอบ

พิสูจน์ได้ว่าหุ้นบลูชิพยังเป็นตัวกดดัชนีตลาดหุ้นไทย!

…