พาราสาวะถี
ยังคงย้ำความเป็นมนุษย์บอกรัฐบาลนี้เหนื่อยรัฐบาลนี้เครียด คนทั่วไปโดยเฉพาะผู้ที่หลับหูหลับตาเชียร์รัฐบาลเผด็จการคงออกอาการสงสารกันอย่างหนักกับการบ่นของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่สำหรับคนที่ติดตามการทำงานของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยและคอการเมือง คงพากันส่ายหน้า ก็ใครใช้ให้อาสาเข้ามาเป็นผู้นำประเทศ เพราะไม่เคยเห็นมีใครบอกว่าสบาย
อรชุน
ยังคงย้ำความเป็นมนุษย์บอกรัฐบาลนี้เหนื่อยรัฐบาลนี้เครียด คนทั่วไปโดยเฉพาะผู้ที่หลับหูหลับตาเชียร์รัฐบาลเผด็จการคงออกอาการสงสารกันอย่างหนักกับการบ่นของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่สำหรับคนที่ติดตามการทำงานของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยและคอการเมือง คงพากันส่ายหน้า ก็ใครใช้ให้อาสาเข้ามาเป็นผู้นำประเทศ เพราะไม่เคยเห็นมีใครบอกว่าสบาย
อ๋อ! ลืมไปก็มีแต่ท่านผู้นำนี่กระมัง ที่ตอนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหมาด ๆ เห็นคุยโวอยู่ไม่ใช่หรือ “บริหารประเทศไม่เห็นยากตรงไหน” แล้วไหงทุกวันนี้จึงบ่น จึงต้องมาทวงบุญคุณประมาณว่าไม่มีรัฐบาลไหนทำงานได้เท่ารัฐบาลนี้แล้ว เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างถูกโยนมาให้เป็นภาระของหัวหน้าเผด็จการและหมู่คณะ ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่
ปัญหาของประเทศนั้นมันมีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะในมิติใดก็ตาม ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล มีที่มาแบบไหนก็ตาม ย่อมเผชิญกับการแก้ปัญหาสารพัด ถูกใจบ้างไม่ถูกใจบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีใครบ่นหรือทวงบุญคุณ เพราะการบริหารประเทศคือการอาสาและเป็นความเสียสละ ดังนั้น เมื่ออาสาเข้ามาแล้วและคนก็ไม่ได้เลือก จะชั่วจะดี จะหนักจะเหนื่อยเพียงใดก็ไม่ควรจะปริปาก
ยิ่งอ้างความเป็นมนุษย์ก็ควรต้องยิ่งมีความอดทนมากกว่าคนทั่วไป ทว่าสิ่งที่ท่านผู้นำแสดงออกมาต่อเนื่องนับตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา เหมือนแค่จะบอกว่าตัวเองนั้นก็เป็นคนธรรมดามีโกรธ มีโมโห ซึ่งนั่นอาจจะถูกหากเป็นเพียงคนที่ชื่อประยุทธ์ หรือมีสถานะเป็นผู้บัญชาการทหารบกเหมือนตอนยึดอำนาจ เพราะนั่นสามารถที่จะแสดงออกหรือระบายต่อผู้ใต้บังคับบัญชาได้
แต่ในแง่ของความเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำประเทศแล้วมันไม่ใช่ เพราะประชาชนไม่ใช่ผู้ใต้บังคับบัญชา ประชาชนไม่ใช่ลูกน้องที่จะคอยสั่งให้ซ้ายหันขวาหันได้ ยิ่งเป็นประชาชนคนหมู่มาก ผู้บริหารยิ่งต้องมีขันติ มีความอดทน ที่จะรับฟังเสียงสะท้อนอันเป็นปัญหาซึ่งมีนานาหลากหลาย แก้ได้ก็ทำให้ทันที แต่อันไหนยากหรือมีขั้นตอนเยอะก็ต้องอธิบายให้เข้าใจ
ไม่ใช่พอมีเสียงสะท้อนอย่างหนึ่งอย่างใดที่คณะรัฐบาลของตัวเองแก้ไขไม่ได้หรือยังแก้ไม่เสร็จ ก็รีบตวาดก่อนแล้วว่า จะเอาอะไรกันนักหนา รัฐบาลนี้ตั้งใจทำทุกอย่างและทำให้ดีที่สุด เรื่องนี้คนทุกคนเข้าใจหมด เว้นแต่ตัวท่านเองเท่านั้นที่ยังไม่เข้าใจเพราะสั่งให้ใครเชื่ออย่างที่ตัวเองอยากจะให้เป็นไม่ได้ นั่นจึงเป็นเหตุแห่งความเครียดและกดดัน พอทนไม่ได้ก็ต้องโพล่งเป็นคราว ๆ ไม่ว่าจะในทำเนียบรัฐบาลผ่านการให้สัมภาษณ์กับนักข่าว หรือต่างจังหวัดเวลาพบปะกับประชาชน
เหมือนอย่างรายการคสช.คืนวันศุกร์ ที่เวลาไปเวทีไหนจะต้องบ่นทุกครั้ง ล่าสุดที่พิจิตรถึงขนาดไล่ให้ประชาชนที่ไม่ดูโทรทัศน์ไปหาอ่านหนังสือพิมพ์ที่ลงรายละเอียดเนื้อหารายการของท่านแบบเต็ม ๆ โธ่ถัง ! นี่หรือความคิดของผู้นำที่ทำทุกอย่างให้ประชาชน หากมันสัมผัสจับต้องได้ ไม่จำเป็นต้องไปบอกให้ใครฟังสิ่งที่ตัวเองพูด หรือไปอ่านเนื้อหาที่อธิบายถึงสิ่งที่ตัวเองทำ เพราะผลงานมันจะเป็นที่ประจักษ์และประชาชนเขาสัมผัสได้เอง
เหมือนอย่างที่ท่านพูดเรื่องปัญหาคนตกงาน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องมาช่วยกันคิดว่าจะสอนอย่างไรให้จบออกมาแล้วมีงานทำ วันนี้จากที่จบออกมาแล้วตกงาน 7 แสนคนต่อปี ถามว่าตกงานเพราะอะไร ทั้งที่มีงานรออยู่ถ้าไม่เลือกมากนัก ปัญหาของคนตกงานคงไม่ใช่อยู่ที่การเลือก แต่มันอยู่ที่สถานประกอบการหรืองานที่จะให้ทำนั้นมันไม่ตรงกับสิ่งที่เขามีวิชา ความรู้หรือทักษะติดตัวมา
ถ้าหากเป็นเช่นนั้น รัฐบาลนี้จะมาให้น้ำหนักเรื่องของแรงงานที่มีฝีมือหรือทักษะความชำนาญการได้อย่างไร หากใช้ตรรกะเช่นนี้คือทุกคนไม่เลือกงาน มีอะไรก็ทำ ๆ ไปก่อน ไม่ว่างานนั้นจะหนักเหนื่อยหรือผลตอบแทนเป็นอย่างไร ประเทศไทยหรือประเทศไหน ๆ ในโลกคงไม่มีคนว่างงาน แค่นี้ก็เป็นการสะท้อนปัญหาวิธีคิดและฐานข้อมูลของคนที่เป็นผู้นำประเทศไทย บางทีอาจจะรับแต่ข้อมูลที่เป็นรายงานซึ่งมุ่งแต่จะเสนอหน้าและเชลียร์เพียงอย่างเดียว แต่ไม่ได้ดูข้อเท็จจริงอื่น ๆ ประกอบด้วย
หลายครั้งหลายหนแล้ว ที่การสื่อสารต่อสาธารณะของท่านผู้นำถูกตั้งคำถาม เหมือนอย่างกรณีการไล่ให้ชาวนาไปปลูกพืชทดแทนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น หมามุ่ย กล้วยหอมทองหรืออื่น ๆ โดยไม่ได้ดูสภาพพื้นที่ว่าแต่ละแห่งนั้นมันปลูกอะไรได้บ้าง โดยยังไม่ได้พูดถึงปัจจัยอื่น ๆ อีกเสียด้วยซ้ำ หากยังทำตัวเป็นแค่นักบริหารโบราณหรือข้าราชการที่ต้องทำตามระเบียบ กติกา ท่องจำเป็นนกแก้วนกขุนทอง โดยขาดการมององค์รวมรอบด้านแบบนักบริหารมืออาชีพ เราก็จะได้เห็นอาการแสดงความเห็นมนุษย์ของผู้นำเผด็จการอยู่บ่อย ๆ
เช่นเดียวกับการที่ท่านผู้นำถามหาการให้เกียรติตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนที่จะถูกตอกกลับมารอบด้าน ล่าสุด เป็นคิวของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่แนะนำบิ๊กตู่แบบนิ่ม ๆ ว่า อย่าไปทำอะไรที่ผิดมนุษย์ จะรู้สึกโกรธหรืออะไรเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เมื่อโกรธสุดขีดแล้วท่านจะปิดห้องตัวเองแล้วตะโกนโหวกเหวกอยู่คนเดียวหรือจะระบายกับใครก็ทำเถอะ
แต่เมื่อเป็นบุคคลสาธารณะ เราจะต้องช่วยกันรักษาเกียรติ ช่วยกันรักษามาตรฐาน บรรทัดฐานต่าง ๆ ก็ต้องฝึกฝนให้มีความอดทน ถึงต้องมีธรรมะของนักปกครองที่จะต้องมีเรื่องขันติ อุเบกขา หวังว่าท่านนายกฯ จะอารมณ์ดีขึ้นและพยายามทำความเข้าใจกับสภาพการเมืองอย่างนี้ เกือบดีแล้วสำหรับข้อแนะนำ แต่พออภิสิทธิ์ทิ้งท้ายว่าสภาพการเมืองแบบนี้ นั่นยิ่งทำให้ท่านผู้นำไม่น่าจะเข้าใจหรือรับฟังข้อเสนอแนะอะไร เนื่องจากด้วยสภาพแบบนี้ ทุกคนต้องเชื่อฟังและทำตามผู้นำแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น
หลายคนตั้งข้อสังเกตการไปจังหวัดพิจิตรรอบนี้ของท่านผู้นำนอกจากข้าราชการและประชาชนพากันมาต้อนรับแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีอดีตส.ส.ในพื้นที่มาคอยต้อนรับเหมือนคราวไปบุรีรัมย์และจังหวัดอื่น ๆ ตรงนี้ก็น่าจะมีนัยความหมายทางการเมือง เหมือนกับบอกกันตรง ๆ อย่ามาดูดอะไรแถวนี้ บางทีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ใช่ว่าจะชี้เป็นชี้ตายได้เสมอไป เพราะเมื่อถึงเวลาหย่อนบัตรเลือกตั้งคำตอบอยู่ที่ประชาชนไม่ใช่ปลายกระบอกปืน ส่วนใครจะเถียงว่าแล้วคนที่แห่แหนมาต้อนรับผู้นำล่ะคืออะไร อันนี้ก็รู้ ๆ กันอยู่