ลดเกณฑ์ดุลพินิจ
วันนี้ คู่ประเดิมมหกรรมฟุตบอลโลก 2018 คือรัสเซียเจ้าภาพกับซาอุดีอาระเบีย แมวทำนายซาอุดีอาระเบียจะชนะเสียนี่ ก็คอยดูกันต่อไปว่าจะจริงเหมือนคำทำนายหรือเปล่า
ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์
วันนี้ คู่ประเดิมมหกรรมฟุตบอลโลก 2018 คือรัสเซียเจ้าภาพกับซาอุดีอาระเบีย แมวทำนายซาอุดีอาระเบียจะชนะเสียนี่ ก็คอยดูกันต่อไปว่าจะจริงเหมือนคำทำนายหรือเปล่า
สภาวะตลาดหุ้นเราตอนนี้ ต้องบอกว่า “น่าเบื่อ” เป็นอย่างมาก ข่าวดีไม่ค่อยมีเข้ามา และพร้อมจะลงรับข่าวร้ายทุกเมื่อ ดัชนีวิ่งถอยหลังจากต้นปีที่ 1,753 จุดไปแล้วนะ
มีสิทธิ์จะหลุดต่ำ 1,700 จุดด้วยนะ จากมรสุมล่าสุดที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25%
อันที่จริง ผมเคยเขียนเตือนให้รับมือกับความผันผวนตลาดไว้ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นดัชนียังอยู่ในระดับ 1,790 จุด แต่เห็นสัญญาณการเคลื่อนย้ายเงินทุนออก
ครับ ตลาดหุ้นไทยปีนี้กับปีก่อน คงแตกต่างกันคนละขั้วจริง ๆ ปี 2560 ตลาดหุ้นโตกว่า 200 จุด เพราะสภาพคล่องท่วมตลาด เนื่องจากมีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาในตลาดความเสี่ยงเป็นจำนวนมาก
โดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศด้วยซ้ำ
แต่ปี 2561 สถานการณ์ตรงกันข้าม แนวโน้มสหรัฐฯปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถี่ขึ้น เงินทุนก็ไหลกลับ นับแต่ต้นปีมานี้ นักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเป็นผู้เล่นหลักในระดับ 35-40% มียอดขายสุทธิสูงถึง 1.45 แสนล้านบาทแล้ว
แม้สมาคมนักวิเคราะห์จะมองโลกสวย ยังคงให้ดัชนีสิ้นปี 2561 ที่ 1,860 จุด แต่ผมว่าสูงไปครับ ยืนให้อยู่ได้ในระดับ 1,750 จุดก็น่าจะหรูแล้ว
ปัจจัยบวกข้อหนึ่งจากสมาคมนักวิเคราะห์ที่พอทำให้ใจชื้นขึ้นบ้าง ก็คือมุมมองผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน ยังคงรักษาอัตราการเติบโตได้ในระดับ 11%
ส่วนข้อน่าวิตกในระยะเฉพาะหน้านี้ก็คือ มูลค่าการซื้อขายที่เริ่มจะเบาบางลงมาก ซึ่งตอนนี้ชักจะหาวอลุ่มในระดับสัก 50,000 ล้านบาท เริ่มยากขึ้นแล้ว
กฎเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯมีส่วนอย่างมากครับ ต้องใช้ “เกณฑ์ดุลพินิจ” ให้น้อยลง ยึดหลักเดินตามกฎเกณฑ์ที่ตราไว้เป็นดีที่สุด
การใช้ “เกณฑ์ดุลพินิจ” ที่มากไป ย่อมมีผลทำลายตลาดมากกว่าการสร้างสรรค์
ผมจะขอยกตัวอย่างเกณฑ์กำกับกิจการซื้อขายที่จะต้องวางเงินสดซื้อขายแทนเกณฑ์ T+2 หรือที่เรียกว่า “แคช บาลานซ์” นั้น
เกณฑ์หลักประกอบด้วย 1.การหมุนรอบซื้อขายที่ไม่เกิน 50% ของปริมาณหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด 2.มูลค่าซื้อขายในรอบสัปดาห์ไม่เกินค่าเฉลี่ยวันละ 100 ล้านบาท และ 3.พี/อีต้องไม่เกิน 40 เท่า
ต้องเข้าเกณฑ์ครบทั้ง 3 ข้อ ขาดข้อใดข้อหนึ่งก็ไม่ได้ ผมก็ว่าพอแรงแล้วนะ ช่วยดับความร้อนแรงของหุ้นบางตัวสมดั่งเจตนารมณ์ได้
แต่บางทีผู้บริหารตลาดฯท่านก็ใช้ดุลพินิจว่าหุ้นตัวนั้นมันร้อนแรงไป ต้องหาทางกระชากราคาและวอลุ่มซื้อขายลงมาให้จงได้ หรืออาจจะเรียกว่ากระเหี้ยนกระหือรือก็ว่าได้
จึงกระทำการเกินเกณฑ์ ใช้ดุลพินิจรักชังส่วนตัว ดับความร้อนแรงหุ้นตัวนั้น
ยกตัวอย่างหุ้นตัวหนึ่ง เป็นหุ้นใหญ่ที่เป็น “หุ้นโกรท สต๊อก” ด้วย เข้าตลาดมาราคาก็เหนือจองจนขึ้นไปสูงสุดถึง 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ ผู้บริหารตลาดฯก็ไม่รอช้าล่ะครับ แขวนป้าย “แคช บาลานซ์” ซะ 5 สัปดาห์
อันนั้น ก็พอทำเนานะ เพราะเข้าเกณฑ์ครบทั้ง 3 ข้อ แต่ราคาหุ้นตัวนั้นก็ยังร้อนแรงอยู่อีก แม้วอลุ่มซื้อขายจะเบาบางลงมากแล้ว ไม่เข้าข่ายเกณฑ์ “เทิร์น โอเวอร์ลิสต์” แน่
ก็ยังถูกจับขังคุก “แคช บาลานซ์” รอบ 2 ต่อเนื่องอีก รอบนี้โดนซะ 3 สัปดาห์
เดี๋ยวนี้หุ้นตัวนั้น เสียรูปเสียทรงไปแล้ว วอลุ่มที่เคยซื้อขายวันละ 5-6 พันล้านบาทเป็นแรมเดือน กลับมาซื้อขายกันแค่ 100-200 ล้านบาท เท่านั้น ราคาก็ลดฮวบฮาบลงมา แต่ก็ยังดีที่ไม่หลุดต่ำกว่าจองเพราะเป็นหุ้นคุณภาพ
การจะกลับไปกวักมือเรียกให้มาเทรดกันคึกคักอย่างเก่ามาชดเชยความซบเซาตอนนี้ ก็คงเป็นไปไม่ได้เพราะเสียรูปเสียทรงไปแล้ว
เรื่องเกณฑ์SET50-SET100 ซึ่งจะมีต่อการซื้อขายหุ้นของนักลงทุนสถาบันก็เช่นกัน การเข้าการออก แทนที่จะวัดกันที่เกณฑ์มาร์เก็ต แคป และเกณฑ์ฟรีโฟลตเป็นสำคัญ แต่ดันมีเกณฑ์ดุลพินิจเรื่อง “ศีลธรรม” หรือ “ความไว้วางใจ” เข้ามาใช้อีก
เดี๋ยวนี้จึงดูไม่ออกจริง ๆ ว่า หุ้นตัวไหนควรเข้าควรออก SET50 และ SET100
ขอฝากผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่ คุณภากร ปิตะธวัชชัยไว้ด้วย
ตลาดพัฒนาแล้วต้องตัดเกณฑ์ดุลพินิจเป็น 0 มีแต่ตลาดด้อยพัฒนาเท่านั้นยังตัดสินด้วยดุลพินิจกันอยู่ วอลุ่มซื้อขายในตลาดก็จะแห้งเหือดด้วย