พาราสาวะถี
ประสาคนยุคไทยแลนด์ 4.0 ต้องบอกว่าอาการเหวี่ยง วีนตลอดทั้งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมมีที่มา การจะปักหลักด่าสื่ออยู่ปาว ๆ ได้ต่อเนื่องถึง 3-4 วัน คงไม่ใช่วิสัยปกติของคนที่เป็นผู้นำประเทศพึงกระทำ แม้จะเป็นผู้นำเผด็จการก็ตาม เพราะทุกการกระทำมันหมายถึง ผลลัพธ์ไม่ว่าจะด้านบวกหรือลบอันจะสะท้อนกลับไปยังคนที่แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นทั้งสิ้น
อรชุน
ประสาคนยุคไทยแลนด์ 4.0 ต้องบอกว่าอาการเหวี่ยง วีนตลอดทั้งสัปดาห์ก่อนหน้านี้ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ย่อมมีที่มา การจะปักหลักด่าสื่ออยู่ปาว ๆ ได้ต่อเนื่องถึง 3-4 วัน คงไม่ใช่วิสัยปกติของคนที่เป็นผู้นำประเทศพึงกระทำ แม้จะเป็นผู้นำเผด็จการก็ตาม เพราะทุกการกระทำมันหมายถึง ผลลัพธ์ไม่ว่าจะด้านบวกหรือลบอันจะสะท้อนกลับไปยังคนที่แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นทั้งสิ้น
คนจำนวนหนึ่งพอจะเข้าใจภาวะกดดันของคนที่มีความหวังอันสูงส่ง ต้องปฏิรูป ต้องเปลี่ยนแปลง ต้องแสดงให้คนเห็นว่าแม้จะเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ก็สามารถทำงานได้และดีกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเสียอีก แต่พอผลมันไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ มิหนำซ้ำ ยังมีเสียงท้วงติง วิจารณ์รายวัน ความเป็นมนุษย์ธรรมดาไม่ใช่พระอิฐพระปูน จึงอยู่นิ่งเฉยไม่โต้ตอบไม่ได้
สุดท้ายสื่อจึงต้องตกเป็นที่ระบายภาวะอัดอั้น กดดันของท่านผู้นำ เมื่อไม่ใช่เทวดาย่อมไม่สามารถดลบันดาลอะไรให้ได้ดั่งใจทุกเรื่อง ด้วยความเป็นมนุษย์จึงต้องยืนอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง แต่สิ่งที่บิ๊กตู่ตวาดกลับนักข่าวเมื่อถูกถามเรื่องสนช.นั่งหลับในวันที่นายกรัฐมนตรีไปชี้แจงของบประมาณมหาศาล 3 ล้านล้านบาทว่า “เป็นคำถามไร้สาระ” จึงไม่น่าจะถูกต้องแน่นอน
คำพูดดังกล่าวของท่านผู้นำคือ “คำถามเธอไร้สาระ ที่ผ่านมาคำถามเธอไม่ได้สาระสักเรื่อง ไม่ขอตอบ สิ่งที่พูดในสภาเรื่องงบประมาณ 3 ล้านล้านบาทมีอะไรบ้าง ลองตอบมา ความแตกต่างคืออะไรจากรัฐบาลที่ผ่านมา สื่อได้นำเสนอบ้างหรือไม่ พูดกันแต่เรื่องนอนหลับ ใครก็ไม่อยากให้มี ได้ส่งภาพให้ประธานสนช.เห็นแล้ว เดี๋ยวก็ไปซักกันเองใครที่หลับคราวหน้าก็เป็นอะไรไม่ได้อีกต่อไป ตนดูไว้หมดหลับก็ไม่ต้องไปเป็นอะไร ไปนอนที่บ้าน”
เป็นคำตอบเชิงประชดประชัน พร้อมทั้งตำหนิและตีกันคนที่หลับในสภาในคราวเดียวกัน เรื่องของการถูกตอดเล็กตอดน้อยเชื่อว่าสื่อคงไม่ได้เก็บมาเป็นประเด็น ยิ่งเรื่องที่ว่าสื่อถูกคุกคามหรือไม่ยิ่งเลิกคิดไปได้ เพราะร้องแรกแหกกระเชอไปก็เปล่าประโยชน์ ดังนั้น จึงต้องไปโฟกัสยังคำขาดของท่านผู้นำที่ว่าต่อไปไม่ต้องเป็นอะไรอีกหมายถึงอะไร
หมายความถึงเฉพาะแค่ตำแหน่งส.ว.ลากตั้ง 250 เสียงที่คสช.จะต้องเป็นผู้เลือกเท่านั้นหรือไม่ หรือสื่อให้เห็นว่า ฉันกลับมามีอำนาจอีกรอบเธอไม่ต้องเป็นอะไรอีกแล้ว ซึ่งนั่นแสดงว่า สิ่งที่ท่านผู้นำเฝ้าบอกมาโดยตลอดไม่ได้อยากมีอำนาจ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่ตรงข้าม เช่นเดียวกันกับเรื่องการสืบทอดอำนาจ ที่กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา การไม่ประกาศให้ชัดว่าไม่รับตำแหน่งใด ๆ หลังการเลือกตั้งจึงเท่ากับเป็นการยืนยันว่า พรรคคสช.นั้นมีแน่ เหลือแค่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดเท่านั้น
ขณะที่ข้อกังวลเชิงประชดประชันของท่านผู้นำที่ว่า รู้ตัวดีอยู่แล้วถึงที่มาของตัวเอง แต่ถ้าไม่เข้ามาจะทำอย่างไร ถ้าย้อนกลับไปได้ก็อยากจะปล่อยให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน ดูสิว่าวันนี้จะอยู่กันได้ไหม มันจะเกิดสงครามกลางเมืองหรือเปล่าก็ไม่รู้ ซึ่งก็มีคนอยากย้อนกลับไปว่า ถ้าปล่อยให้การเมืองแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตามวิถีและไม่มีวาระซ่อนเร้น ป่านนี้ประเทศอาจจะไม่เป็นเหมือนทุกวันนี้ก็ได้
ยิ่งได้ฟังท่านผู้นำเอ่ยถึงประชาธิปไตยไม่ใช่แก้ทุกอย่างได้ทั้งหมด แล้วยิ่งไปกันใหญ่ พร้อมกับคำพูดที่ตามมาว่า ต้องมองประชาธิปไตยของเราควรเป็นแบบใด จะเป็นแบบเดิมหรือไม่ จึงต้องร่วมมือกัน ซึ่งประชาธิปไตยต้องดูแลทั้งคนส่วนใหญ่และส่วนน้อยโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มันก็ดูท่าจะย้อนแย้งกับสิ่งที่ท่านเพิ่งประกาศไปว่านานาประเทศเข้าใจว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปสู่ประชาธิปไตยที่เป็นสากล
สรุปแล้วคณะเผด็จการคสช.ต้องการประชาธิปไตยแบบไหนกันแน่ และมันก็เป็นอาการย้อนแย้งหรือจะเรียกว่าไบโพล่าร์ทางการเมืองหรือเปล่า เหมือนอย่างกรณีที่ท่านเพิ่งด่าคนที่วิพากษ์วิจารณ์มาตลอดทั้งสัปดาห์ แต่ในรายการของคสช.เมื่อคืนวันศุกร์ท่านผู้นำกลับบอกว่า จิ้งจกทักยังต้องฟัง ทุกเสียงทุกความเห็น โดยเฉพาะจากประชาชนเจ้าของประเทศ ตนและรัฐบาลคสช.ได้ยินและได้นำมาสู่กระบวนการแก้ไขอยู่ตลอดระยะเวลา 4 ปี เพราะเป้าหมายคือการคืนความสุขให้กับคนในชาติ
ก่อนที่จะสาธยายต่อว่า ไม่ได้ตีความความสุขแต่เพียงตัวเลขเศรษฐกิจ แต่ให้ความสำคัญที่กว้างกว่าทั้งเรื่องปากท้อง ความเหลื่อมล้ำ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาทุจริต การขาดโครงสร้างพื้นฐานที่ดีพอ รวมไปถึงความแตกแยกอุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งทุกเรื่องที่ว่ามาโดยเฉพาะความแตกแยกทางอุดมการณ์ทางการเมืองนั้น ท่านผู้นำคงจะรู้ดีว่าได้ให้ความสำคัญและแก้ไขอย่างจริงจังแค่ไหน
ทุกครั้งที่มีการอ้างเรื่องความสงบเรียบร้อย ความมั่นคงซึ่งน่าจะหมายถึงเก้าอี้และการดำรงอยู่ในอำนาจของท่านผู้นำและชาวคณะเอง เป็นเหตุให้ใครก็ตามที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องและแสดงออกในเชิงที่เห็นต่างจากฝ่ายกุมอำนาจ จะต้องประสบกับชะตากรรมถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาอันสุดคลาสสิกคือ ทำผิดกฎหมายอันหมายถึงคำสั่งของคณะเผด็จการที่ท่านนั่งบัญชาการนั่นเอง
หากฟังเสียงจิ้งจกทักจริง การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งแม้จะไม่เปิดให้เดินไปถึงทำเนียบรัฐบาล ก็ควรที่จะมีคนมาหารือรับเรื่องหรือจะประกาศเองก็ได้ว่า เหตุผลที่ต้องเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้านั้นเพราะอะไร อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า มีความจริงใจในการรับฟังทุกเสียงแม้จะเป็นคนเห็นต่าง ไม่ใช่อ้างแต่ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายเพียงอย่างเดียว ขณะที่ฝ่ายถืออำนาจที่อ้างกฎหมายซึ่งคณะของตนเขียนขึ้นเองไปไล่เอาผิดคนเห็นต่าง
เลือกตั้งเกิดขึ้นตามโรดแมปหรือไม่ไม่รู้ แต่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และ จุรินทร์ ลักษณวิศิฏฐ์ สองแกนนำสองพรรคใหญ่คือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ไปร่วมงานเสวนาของกกต. มองตรงกัน ห่วงการเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่สุจริต และคนเขียนกติกาและเป็นกรรมการกระโดดลงสนามเป็นผู้เล่นเสียเอง ส่วนกกต.ควรคุมทุกอย่างได้แต่วันนี้กลับถูกคุมด้วยมาตรา 44 ถ้ากกต.ใช้อำนาจสุจริตเที่ยงธรรมยุติธรรมก็ไม่มีอะไรน่าห่วง แต่ถ้ามีสิ่งนอกเหนือไปจากนี้ ก็อาจจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้สมัครบางคนบางพรรคได้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพรรคใครคนของใคร