พาราสาวะถี

ภารกิจช่วย 13 ชีวิตนักเตะเยาวชนและโค้ชทีมหมูป่าอคาเดมี่ บริเวณถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย แม้จะเนิ่นนานเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แต่ทีมกู้ภัยทั้งไทยและต่างประเทศ ยังคงไม่ลดละ เดินหน้ากันอย่างเต็มที่ ซึ่งก็มีสัญญาณที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้ไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้นแต่ทั้งโลกเอาใจช่วยให้ทั้ง 13 ชีวิตปลอดภัย


อรชุน

ภารกิจช่วย 13 ชีวิตนักเตะเยาวชนและโค้ชทีมหมูป่าอคาเดมี่ บริเวณถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย แม้จะเนิ่นนานเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 แต่ทีมกู้ภัยทั้งไทยและต่างประเทศ ยังคงไม่ลดละ เดินหน้ากันอย่างเต็มที่ ซึ่งก็มีสัญญาณที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้ไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้นแต่ทั้งโลกเอาใจช่วยให้ทั้ง 13 ชีวิตปลอดภัย

ขณะที่หน่วยปฏิบัติการหลักอย่างซีล พลเรือตรีอาภากร อยู่คงแก้ว ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ ประกาศกร้าว “หากเราไม่พบ เราไม่เลิก” นี่คงเป็นคำสัญญาที่ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองของทั้ง 13 ชีวิตอุ่นใจ เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครทุกคนทุกฝ่ายที่ทำงานกันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ทำทุกวินาทีให้มีความหมาย คนที่อยู่ไกลแม้ไม่ได้ไปช่วยด้วยแรงกายแต่ก็ส่งแรงใจไปช่วยกันตลอดเวลา

ดีอกดีใจกับการประกาศยกระดับการแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย โดยสหรัฐอเมริกาขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับเทียร์ 2 ถือเป็นผลงานจากความตั้งใจของรัฐบาลอันนี้นำไปโอ้อวดกันได้ แต่อย่าลืมเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่แค่จริงจังเอาเฉพาะช่วงที่ต้องการให้ต่างชาติจัดอันดับไทยให้ดีขึ้น พอผ่านไปแล้วผ่อนปรน ขบวนการค้ามนุษย์ พวกมองเห็นมนุษย์ด้วยกันไม่ใช่คนยังคงมีอยู่ และกระทำการย่ำยีเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอยู่ทุกวี่วัน

การเมืองในประเทศนาทีนี้ไม่มีเรื่องไหนเด่นดังไปกว่า กลุ่มสามมิตรกับมหกรรมเดินสายดูด ที่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่า ตราบใดที่ไม่ได้ด่ารัฐบาล ไม่ทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายครองอำนาจก็ไม่ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ตามมาด้วยกระบอกเสียงรัฐบาล “ไก่อู” สรรเสริญ แก้วกำเนิด รัฐบาลและคสช.ไม่เคยมีการเลือกปฏิบัติ ทุกอย่างถือมาตรฐานเดียว

คำพูดนั้นจะเสกสรรปั้นแต่งให้สวยหรูอย่างไรก็ได้ จะโฆษณาชวนเชื่อให้คนคล้อยตามอย่างไรก็สุดแท้แต่จะคิดกันประการใด แต่ข้อเท็จจริงที่คนสัมผัสได้ สิ่งที่เห็นในปัจจุบันและเหตุการณ์ในอดีตรวมถึงมีให้เทียบเคียงในห้วงเวลาเดียวกัน เป็นเครื่องพิสูจน์สิ่งที่ผู้มีอำนาจพยายามอธิบายนั้น ความจริงแล้วมันเป็นเช่นนั้นหรือไม่

พรรคเพื่อไทยคงไม่ต้องพูดถึง ขยับตัวแต่ละครั้งเป็นได้เรื่อง ไม่ใช่เพราะเป็นโจทย์สำคัญเป็นพลังอำนาจที่ถูกเขายึดไป แต่ยังเป็นเป้าหมายของการทำลายล้าง พลังดูดที่เกิดขึ้นก็เห็นชัดเจนว่าพุ่งเป้าไปที่อดีตส.ส.ของพรรคนายใหญ่เป็นด้านหลัก ยิ่งฟังทางด้านแกนนำของกลุ่มที่เดินสายบอกว่าไม่ได้ใช้เงินดูด แต่เป็นการดูดพลังสมองมาช่วยทำงาน ถ้าคิดเช่นนั้นได้ก็อย่าดูถูกประชาชนว่าเขาไร้สมอง

ความจริงก็น่าจะมีคนไปถาม สุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกปปส.นี่คือการปฏิรูปทางการเมืองที่ต้องการ เป็นสิ่งที่อยากเห็นตามที่ได้โพนทะนาไปในช่วงชัตดาวน์ประเทศหรือไม่ คงกระดากที่จะเสนอหน้าออกมาบอกว่าสิ่งที่เครือข่ายผู้มีอำนาจทำอยู่เวลานี้คือการปฏิรูปตามที่ต้องการหรือเปล่า และเป็นการเมืองใหม่แล้วใช่ไหมกับพวกที่ลั่นวาจาว่าเกลียดนักการเมืองชั่วพรรคการเมืองเลว

หากไร้คำตอบจากแกนนำกปปส. ก็ลองฟังสิ่งที่ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ให้เห็นกรณีที่เกิดขึ้น สะท้อนว่ากำลังมีการย้อนยุคกลับไปสู่จุดที่ว่า จะทำอย่างไรก็ได้ขอให้ชนะอีกแล้ว เหมือนบางยุคในอดีต ต้องยอมรับว่าพฤติกรรมมันสวนทางกับการปฏิรูปการเมืองอย่างชัดเจน ตนเป็นห่วงภาพลักษณ์ประชาธิปไตย และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น

ปุจฉาที่อู๊ดด้าถามต่อมาน่าสนใจอีกเช่นกัน กรณีนี้จะไปโทษฝ่ายการเมืองอย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะปรบมือข้างเดียวคงไม่ดัง แล้วใครกันที่สนับสนุนให้ฝ่ายการเมืองกระทำเช่นนั้น ไม่ใช่พวกที่ด่านักการเมืองชั่วนักการเมืองเลวอย่างนั้นหรือ เช่นนี้จะถือว่าเป็นพวกมือถือสากปากถือศีลได้หรือไม่ แต่ประสาคนดีและพวกตะแบง คงพยายามหาเหตุหาผลมาอธิบายนี่ไม่ใช่ความชั่วช้าแค่ความสามานย์เพื่อทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าเท่านั้นเอง (ฮา)

สิ่งที่เกิดขึ้นเคยบอกไว้ตั้งนานแล้วว่า มันจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดามากหากผู้มีอำนาจประกาศเสียตั้งแต่แรกว่าจะตั้งพรรคการเมือง และบอกไปเลยว่าพรรคการเมืองดังกล่าวนั้นชื่อพรรคอะไร มีใครเป็นผู้บริหารพรรค หากเกรงว่าจะถูกครหาเรื่องความชอบธรรม เหมาะสม ไม่ดีงามตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย ถ้าคิดขนาดนั้นมันก็ไม่ชอบธรรมตั้งแต่ที่มาของอำนาจแล้ว

เรื่องนี้ สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อธิบายให้เห็นภาพ กรณีดังกล่าวทำให้ชัดเจนขึ้นว่ารัฐบาลคสช.มีพรรคการเมืองเพื่อมาสนับสนุนตัวเองให้เป็นรัฐบาลต่อ แต่ถ้าจะให้ชอบธรรมกว่านี้ รัฐบาลคสช.ควรประกาศตัวออกมาให้ชัดเจนเลยตั้งแต่วันนี้ว่าพร้อมที่จะลงสู่สนามเลือกตั้ง เสนอเป็นทางเลือกสำหรับประชาชน จะได้ไม่มีใครต่อว่าได้

ถ้าประกาศตัวชัดเจนประชาชนที่เห็นว่ารัฐบาลคสช.ทำงานเข้าตาก็พร้อมสนับสนุนอยู่แล้ว เหมือนสมัยที่ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีตัดสินใจลาออกจากผู้บัญชาการทหารบกเพื่อลงสนามเลือกตั้ง ก็ได้รับเสียงชื่นชม ไม่ใช่ใช้หลักศรีธนญชัยทางกฎหมายมาสร้างความได้เปรียบให้กับตนเอง แต่ความเห็นนี้คงไม่มีใครรับลูกเสี่ยตือ เพราะปมปัญหาหลายเรื่องที่เกิดขึ้นเวลานี้ แม้กระทั่งกรณีคลายล็อกพรรคการเมือง ก็เกิดจากการผูกเงื่อนของเนติบริกรศรีธนญชัยทั้งหลายนั่นเอง

ภาพการเมืองหลังการเลือกตั้งฟัง อนุสรณ์ ธรรมใจ พูดบนเวทีเสวนาเมื่อวันเสาร์แล้วเห็นภาพ สังคมไทยคาดหวังว่าจะได้เลือกตั้งกลับคืนสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แต่ขอบอกว่าหลังการเลือกตั้งเราจะกลับคืนสู่ระบอบกึ่งประชาธิปไตยเท่านั้น มิใช่ระบอบประชาธิปไตยสมบูรณ์ เนื่องด้วย รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีหลายมาตราที่มีความไม่เป็นประชาธิปไตยเลย 

อนุสรณ์จึงเสนอแนวทางเพื่อไปสู่ประชาธิปไตยที่แท้จริงคือ ปลดล็อกพรรคการเมือง คืนความเป็นธรรมคดีการเมืองทั้งหมด ยกเลิกการดำเนินคดีกลุ่มคนอยาก เลือกตั้งและประชาชนที่รักประชาธิปไตย ต้องมีการจัดการเลือกตั้งอย่างสุจริต โปร่งใส เป็นธรรม ปราศจากข้อสงสัย ให้คสช.ที่อยากทำงานการเมืองต่อหรือสืบทอดอำนาจเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ลดความเสี่ยง การเผชิญหน้าครั้งใหม่ หลังเลือกตั้งให้ยึดเสียงส.ส.เลือกนายกฯ ให้ส.ว.งดออกเสียง และให้มีการลงประชามติถามประชาชนว่าควรแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 รวมถึงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีหรือไม่ ใครจะยอมทำในสิ่งที่กำหนดมาเพื่ออำนาจของตัวเองและพวกพ้อง

Back to top button