พาราสาวะถี

ดีใจกันทั่วโลกหลังจากที่ ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในฐานะผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย ให้สัมภาษณ์สื่อในคืนวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า เจ้าหน้าที่ประสบความสำเร็จพบ 13 ชีวิตเยาวชนและโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมี่ ที่ติดอยู่ภายในถ้ำหลวงนานเกือบ 10 วัน โดยทุกคนปลอดภัย


อรชุน

ดีใจกันทั่วโลกหลังจากที่ ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายในฐานะผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการร่วมค้นหาผู้สูญหายในวนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน อำเภอแม่สาย ให้สัมภาษณ์สื่อในคืนวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า เจ้าหน้าที่ประสบความสำเร็จพบ 13 ชีวิตเยาวชนและโค้ชทีมหมูป่าอะคาเดมี่ ที่ติดอยู่ภายในถ้ำหลวงนานเกือบ 10 วัน โดยทุกคนปลอดภัย

แม้จะยังไม่มีรายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติม แต่ข่าวดังว่าก็กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้าในทันที สร้างความยินดีปรีดากับคนที่ส่งใจไปช่วยและพากันภาวนาขอให้ทั้งหมดรอดและปลอดภัย ชุดล่วงหน้าที่พบกับเด็กทั้ง 13 คนคือนักประดาน้ำผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษ ตามคลิปที่ได้มีการโพสต์ผ่านหน้าเพจของ THAI Navy SEAL อันเป็นคลิปที่เรียกน้ำตาจากคนที่ได้ชม

แน่นอนว่า สิ่งนี้นำมาซึ่งความดีใจและโล่งอกของพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กทั้งหมด หลังจากอมทุกข์มานานกว่าสัปดาห์ แต่สิ่งที่ตามมาหลังจากนี้คือ กระบวนการในการนำทั้ง 13 คนออกมาจากถ้ำ เพราะฟัง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ยืนยันว่ามีทางออกแค่ทางเดียวคือทางที่เจ้าหน้าที่เข้าไปนั่นแหละ ซึ่งนั่นคือโจทย์อันสำคัญที่สื่อต่างชาติพร้อมใจกันรายงานว่า “ภารกิจช่วย 13 ชีวิตติดถ้ำยังไม่จบ”

แม้ทั้งหมดจะปลอดภัย แต่อาจจะต้องรออีกหลายสัปดาห์ หรือเป็นเดือนเพื่อให้ระดับน้ำในถ้ำหลวงลดลง หรือเด็กและโค้ชต้องฝึกเรียนดำน้ำเสียก่อนจึงจะสามารถออกมาจากถ้ำได้ ตอนนี้ทีมซีล รวมทั้งแพทย์และพยาบาลที่ดำน้ำเข้าไปถึงตัวเด็ก กำลังตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้ง และมีรายงานว่าทีมซีลจะส่งอาหารและสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ ให้เด็กสามารถอยู่ได้ถึง 4 เดือน รวมทั้งการฝึกสอนดำน้ำให้ด้วย

นั่นหมายความว่า ภารกิจช่วย 13 ชีวิตติดถ้ำหลวงเข้าสู่ขั้นตอนใหม่ นั่นคือการนำเด็กและโค้ชออกมาจากถ้ำ ในขณะที่ทางเลือกของทีมค้นหาในการนำ 13 ชีวิตออกมาจากถ้ำมีจำกัด เนื่องจากทางที่เข้า-ออกถ้ำต้องผ่านทางที่แคบ ถูกน้ำท่วม ในขณะที่การเร่งสูบน้ำออกจากถ้ำและพยายามหาทางที่จะเข้าถ้ำหลวงโดยช่องทางอื่นนั้น จนถึงขณะนี้ยังไม่สำเร็จ

การให้เด็ก ๆ ดำน้ำออกจากถ้ำ ถูกพิจารณาว่าเป็นวิธีการออกจากถ้ำที่ดีน้อยที่สุด โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนให้ระวังเกี่ยวกับการพาเด็กดำน้ำออกจากถ้ำหลวงผ่านทางที่แคบ ว่า จะเต็มไปด้วยความยากลำบาก และอาจเกิดปัญหาด้านอื่น ๆ แทรกซ้อนขึ้นมาได้ โดยเฉพาะถ้าเด็กบางคนว่ายน้ำไม่เป็น ซึ่ง แพต มอเร็ต ที่ปรึกษาทีมค้นหาระบุว่า สถานการณ์น่าห่วงที่สุดคือการต้องพาเด็กดำน้ำออกจากถ้ำ

จินตนาการของคนภายนอกอาจมองว่าไม่น่าจะยากอะไร แต่สำหรับทีมช่วยเหลือแล้วนี่คืองานหินสุด ๆ การว่ายน้ำออกจากถ้ำไม่เหมือนการดำน้ำที่คนส่วนใหญ่คิดกัน เพราะมันจะเป็นการดำน้ำในน้ำขุ่น บางทีในถ้ำกระแสน้ำไหลแรงไม่รู้ว่ามาจากทิศไหน ดังนั้น จึงถูกแล้วที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะบอกกับนักข่าวว่า ต้องทำอย่างรอบคอบและขออย่ากำหนดเวลาในการปฏิบัติงาน

สิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคนได้ดำเนินการกันมาตั้งแต่ต้นจนถึงนาทีนี้ภายใต้การบัญชาการของผู้ว่าฯเชียงรายนั้น ถือว่าเดินมาถูกทาง ภารกิจได้สำเร็จไปในระดับหนึ่งที่ลดความกังวลของคนที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง รวมทั้งความห่วงใยที่มีมาจากทั่วสารทิศ จากนี้ไปเป็นอีกขั้นของการปฏิบัติงานที่ทุกสรรพกำลังจะต้องระดมทั้งความคิด ความทุ่มเทและกำลังใจ เพื่อทำให้ทั้ง 13 ชีวิตปลอดภัย

ขณะที่อีกประเด็นหนึ่งซึ่งเป็นข่าวคู่ขนานกันมากับการพบ 13 ชีวิตคือเรื่องราวของ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร อรัญวาสีภิกขุ แห่งวัดพระธาตุดอนเรือง เมืองพง รัฐฉาน ที่ได้เดินทางมาเข้าทำพิธีเปิดทางที่ถ้ำหลวงเมื่อช่วงดึกของคืนวันที่ 29 มิถุนายนและช่วงบ่ายของวันที่ 30 มิถุนายน พร้อมกับคำพูดที่บอกว่า อีก 1-2 วัน ทั้งหมดจะออกมาอย่างปลอดภัย เจ้าหน้าที่อยู่ไม่ไกลจาก 13 คน

แน่นอนว่า มองในมิติที่เป็นเรื่องเหนือธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่ผู้มีความเชื่อจะคิดกันไปต่าง ๆ นานา ขณะเดียวกันพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบการพูดในลักษณะเช่นนี้ย่อมหมายถึงเป็นกุศโลบายในการให้กำลังใจทั้งพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ส่วนที่มองกันไปในอีกมิตินั้นตรงนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครห้ามได้

อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่และผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ครูบาบุญชุ่มได้พูดในวันนั้น จะนำมาซึ่งความไม่พอใจของพวกที่ถือหางหรือลิ่วล้อผู้มีอำนาจหรือไม่ กับคำพูดที่ท่านบอกว่า “ขอเป็นกำลังให้เจ้าหน้าที่ รวมถึงสื่อที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย และอยากให้ประเทศไทยมีการเลือกตั้งเหมือนท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า”

ถ้าคิดแบบอคติในมุมของผู้ที่ไม่ต้องการให้ใครมาชี้นำหรือพูดถึงการเมืองในจังหวะที่ผู้มีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดต้องการให้ทุกอย่างสงบราบคาบ ก็จะมองครูบาไปอีกแบบหนึ่ง หรือพวกมือถือสากปากถือศีล ก็จะกล่าวหาหนักข้อไปด้วยว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไม่ใช่ธุระที่ผู้ครองสมณเพศจะพึงแสดงความเห็นหรือให้คำแนะนำใด ๆ

แต่นั่นเป็นสิ่งที่พระสงฆ์ในประเทศไทยถูกตีกรอบ แต่สำหรับพระในพม่าแล้ว เรื่องการเคลื่อนไหวทางการเมือง การแสดงออกหรือเรียกร้องต่าง ๆ เป็นภาพที่คนไทยและคนทั้งโลกได้เห็นกันจนชินตา ดังนั้น สิ่งที่ครูบาบุญชุ่มได้สะกิดเตือนนั้น คงไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความวุ่นวายใด ๆ แต่ต้องการเห็นประเทศไทยเดินไปในทิศทางอันเป็นสิ่งที่สากลให้การยอมรับ ซึ่งครั้งหนึ่งก็เชื่อว่าครูบาเองก็ไม่น่าจะคิดมาก่อนว่าเกิดขึ้นได้ที่พม่า

ไม่ว่ากรณี 13 ชีวิตติดถ้ำจะดำเนินต่อไปอย่างไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็สะท้อนให้เห็นภาพอีกด้านหนึ่งของคนในวิชาชีพสื่อสารมวลชน ที่ทุกคนพร้อมใจฟังผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการณ์ฯ ไม่ถามพร่ำเพรื่อ ไม่นำเสนอประเด็นที่ทำให้เกิดการตีความและนำไปสู่ความไม่สบายใจของทุกฝ่าย นี่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นการทำหน้าที่ของสื่ออย่างมืออาชีพที่แท้จริง และหวังว่าเราจะได้เห็นการทำหน้าที่อันมีเกียรติในลักษณะนี้ โดยยึดประโยชน์ของสังคมบนความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชน

Back to top button