กลับทิศขาขึ้น จริงหรือมายา

สองวันแรกของสัปดาห์นี้ ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดกว่า 30 จุดยืนเหนือ 1,620 จุดได้อย่างมั่นใจ ความมั่นใจนี้ ทำให้นักวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายสำนักโบรกเกอร์พากันสรุปว่า เริ่มเกิดสัญญาณที่เรียกว่าการกลับทิศขาขึ้นหรือ Bullish Divergence ครั้งใหม่


พลวัตปี 2018  : วิษณุ โชลิตกุล

สองวันแรกของสัปดาห์นี้ ดัชนี SET ปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดกว่า 30 จุดยืนเหนือ 1,620 จุดได้อย่างมั่นใจ ความมั่นใจนี้ ทำให้นักวิเคราะห์ทางเทคนิคหลายสำนักโบรกเกอร์พากันสรุปว่า เริ่มเกิดสัญญาณที่เรียกว่าการกลับทิศขาขึ้นหรือ Bullish Divergence ครั้งใหม่

เหตุผลง่าย ๆ คือ เดือนกรกฎาคมมีปัจจัยลบน้อยกว่าปัจจัยบวก

ประเด็นคำถามคือ มันเป็นสัญญาณจริงหรือสัญญาณลวง

ก็อย่างที่ทราบกันดี ปัจจัยลบที่รอตลาดหุ้นทั่วโลกข้างหน้ามี 3 เรื่อง ที่แม้จะไม่มากและรู้ดีหรือซึมซับกันหมดแล้ว แต่ก็ถือว่าสาหัสสากรรจ์ทั้งสิ้น เพราะมีตั้งแต่ 1) ดอกเบี้ยสหรัฐฯ และโลกขาขึ้น 2) สงครามการค้าจีน (ยุโรป-สหรัฐฯ ที่คุกรุ่นพร้อมบานปลาย 3) ฟันด์โฟลว์ขนาดใหญ่ไหลออกจากตลาดเอเชีย 

แค่สามเรื่องที่ไม่รู้ว่าทางออกและจุดจบจะไปที่จุดไหน ก็ถือเป็นปัจจัยถ่วงรั้งราคาหุ้นทั้งสิ้น เกิดปริศนาว่าด้วย Bullish Divergence

เพื่อทำความเข้าใจเรื่องนี้แบบ “เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน” จึงต้องมีการทบทวนเรื่องนี้กันหน่อย

ในทางทฤษฎี สัญญาณทางเทคนิคจะมีการชี้นำด้วยดัชนีชี้นำหรือ indicator ทีนี้เมื่อใดก็ตาม หากช่วงราคาหรือดัชนีเคลื่อนไหวไม่เป็นไปในรูปแบบเดียวกับ indicator นั้น ถือเป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า เป็นสัญญาณ divergence เพื่อช่วยให้เทรดเดอร์และนักลงทุนที่อ่านกราฟเก่ง หาจังหวะการกลับตัวของราคา ซึ่งประกอบด้วย 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ

1) Bullish Divergence : เกิดในช่วงแนวโน้มขาลง โดยราคาลงทำ Lower Low แต่ Indicator ทำ Higher Low เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาขึ้น

2) Bearish Divergence : เกิดในช่วงแนวโน้มขาขึ้น โดยราคาขึ้นทำ Higher High แต่ Indicator ทำ Lower High เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นขาลง

ในทางปฏิบัติ divergence นั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทุก Indicators แต่ที่นิยมกันมากที่สุดคือใช้กับ RSI (Relative Strength Index) โดย RSI เป็นเครื่องมือที่ไว้เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยการขึ้นกับค่าเฉลี่ยการลงของราคาในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่มาคำนวณ เช่น เมื่อ RSI มีค่าต่ำ แสดงถึงความอ่อนแอของราคาในช่วงนั้น และเมื่อ RSI มีค่าสูง แสดงถึงความแข็งแกร่งของราคาในช่วงนั้น

สิ่งที่นักลงทุนมีประสบการณ์เข้าใจกันดีคือ divergence ไม่ได้เป็นตัวบอกว่าราคาจะเปลี่ยนแนวโน้มจากลงเป็นขึ้น หรือจากขึ้นเป็นลง แต่เป็นการบอกว่าโมเมนตัมของราคาเริ่มเปลี่ยนไป อาจจะเป็นการแกว่งตัว Sideway ออกด้านข้างก็เป็นได้หลังเกิด Divergence

ปัญหาที่นักลงทุนอ่อนประสบการณ์อยู่ที่ว่า เครื่องมือทางเทคนิค นั้นไม่ได้สามารถพึ่งพิงได้แค่ตัวเดียว แต่มีอยู่ด้วยกันหลายตัว และต้องใช้ร่วมกัน ทั้งการลากหาแนวโน้ม ดู Candlestick นับคลื่น ใช้เส้นค่าเฉลี่ย ดู Fibonacci ฯลฯ และหนึ่งในนั้นคือเครื่องมือ divergence นี้ โดยเฉพาะ Bullish Divergence ซึ่งจะเกิดเมื่อตลาดหุ้น หรือหลักทรัพย์นั้น ๆ อยู่ในขาลง และมีโอกาสเข้าสู่ทิศทางกลับตัว

ข้อสังเกตที่มีคนแนะนำมากที่สุดจนสามารถเขียนเป็นตำราทั่วไปในการสังเกตโมเมนตัมนี้คือ 

ดูในกราฟ โดยดูทิศทางของราคาดัชนี หรือ หลักทรัพย์ เปรียบเทียบกับ Indicator ซึ่งตัวที่นิยมใช้ดูกับรูปแบบดังกล่าวก็คือ RSI, MACD และ Stochastic ซึ่งจะปรากฏตอนที่ราคาหุ้น มีการลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ Indicator ที่เราใช้ดูประกอบ กับทำ Higher Low หรือ ลงมาไม่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดเดิม หากราคาหุ้นดีดขึ้นไปเหนือจุดต่ำสุดก่อนหน้าได้ ก็เหมือนกับการยืนยันว่าเกิด Bullish Divergence และมีโอกาสสูงมากที่ราคาหุ้นจะกลับตัวจากขาลง เปลี่ยนมาเป็นขาขึ้น

ในทางตรงกันข้าม การสังเกต Bearish Divergence ก็คือ ราคาหุ้น มีการขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ Indicator ที่เราใช้ดูประกอบ กับทำ Lower High หรือ ขึ้นไป แต่เตี้ยกว่าจุดสูงสุดเดิม และเมื่อไหร่ที่หากราคาหุ้นโดนทุบลงมาต่ำกว่าจุดสูงสุดเดิม ก็เป็นการยืนยันว่าเกิด Bearish Divergence และมีโอกาสสูงมากที่ราคาหุ้นจะกลับตัวจากขาขึ้น เปลี่ยนเป็นขาลง ดูตัวอย่างครับ

แม้สัญญาณดังกล่าวจะแม่นยำแค่ไหน แต่ก็มีคำเตือนตามมาเสมอว่า อาจจะใช้การไม่ได้ ภายใต้เงื่อนไขพิเศษ ที่ต้องพึ่งพาประสบการณ์เช่นกันว่า มีข้อควรระวังในการใช้ Divergence ในการเข้าซื้อหรือขายก็คือ

– เป็นสัญญาณที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้ง ต้องค่อย ๆ พิจารณา

– divergence อาจไม่ได้เกิดแค่คลื่นแค่ 2 ลูกติดกัน อาจเป็น 3 คลื่นก็ได้ก่อนเปลี่ยนแนวโน้ม

– เช่นกันกับสัญญาณทางเทคนิคแบบอื่นๆ นันก็คือ ไม่ได้มีความแม่นยำแบบ 100%

ดังนั้น บทสรุปชนิดฟันธงของนักวิเคราะห์บางสำนัก อาจจะแม่นยำหรือไม่ก็ได้ ความรับผิดชอบเงินลงทุนยังคงเป็นของนักลงทุนที่ดูแลพอร์ตตัวเองเป็นสำคัญ

Back to top button