พาราสาวะถี
ภารกิจนำ 13 ชีวิตหมูป่าอะคาเดมี่ออกจากถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ยังต้องดำเนินต่อไป ท่ามกลางข่าวสารที่นำเสนอกันหลากหลาย แต่ที่ไม่ควรเกิดคือการแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงบั่นทอน ทำลายขวัญและกำลังใจทั้งของ 13 ชีวิตที่ยังไม่รู้ว่าวันนี้ภายนอกถ้ำเกิดอะไรขึ้น รวมไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่าย
อรชุน
ภารกิจนำ 13 ชีวิตหมูป่าอะคาเดมี่ออกจากถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ยังต้องดำเนินต่อไป ท่ามกลางข่าวสารที่นำเสนอกันหลากหลาย แต่ที่ไม่ควรเกิดคือการแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงบั่นทอน ทำลายขวัญและกำลังใจทั้งของ 13 ชีวิตที่ยังไม่รู้ว่าวันนี้ภายนอกถ้ำเกิดอะไรขึ้น รวมไปถึงพ่อแม่ผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่าย
ลือกันแม้กระทั่งว่า 3 ผู้เชี่ยวชาญจากอังกฤษ ริชาร์ด สแตนตัน, จอห์น โวลันเธน และ โรเบิร์ต ฮาร์เปอร์ เผ่นกลับบ้านเกิดแล้ว พร้อมกับการเสี้ยมว่ามีปัญหาไม่ลงรอยในการปฏิบัติงาน ร้อนถึง วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ต้องออกมาปฏิเสธ ขณะที่ทีมจากอังกฤษก็ยังอยู่ปฏิบัติการช่วยเหลืออย่างเข้มแข็ง จะมีเพียงก็แต่ฮาร์เปอร์วัย 70 ปีเท่านั้นที่จะต้องบินกลับไปพบแพทย์ตามนัด
งานนี้จะห้ามความคิดและเสรีภาพในการแสดงความเห็นคงยาก หลังจากช่วยเหลือเด็กทั้ง 13 คนออกมาจากถ้ำและส่งเขากลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้แล้ว สิ่งที่ภาครัฐอันหมายถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องทำกันต่อคือ จะให้ทั้ง 13 ชีวิตพร้อมครอบครัวใช้ชีวิตได้ปกติอย่างไร ในสิ่งที่เป็นคำชื่นชมคงไม่เป็นปัญหา แต่พวกไม่สร้างสรรค์และจ้องจะทำลายนั้น ต้องสอนวิธีการรับมือให้ทุกครอบครัวว่าจะจัดการกันอย่างไร
ปัจจุบันต้องยอมรับกันว่า โลกโซเชียลมีเดียมีผลต่อชีวิตประจำวันเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งมันก็คือเหรียญสองด้าน หากใครเลือกที่จะรับในสิ่งที่ดีก็ดีไป แต่ด้วยวัยวุฒิของเด็กทั้ง 12 คนที่ไม่นับรวมโค้ช ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่า เขาจะรับในสิ่งที่เป็นด้านมืดของพวกเกรียนคีบอร์ดได้มากน้อยขนาดไหน นี่แหละคือโจทย์ใหญ่ของฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะต้องคิดหลังจากที่กระแสข่าวนี้ซาลงไป
ต้องยกนิ้วให้คือทีมช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา เจสสิก้า เท็ต โฆษกกองทัพมะกันในภารกิจกู้ภัยช่วย 13 ชีวิตถ้ำหลวง ลั่นทีมงานจากสหรัฐฯ จะอยู่ช่วยเหลือจนกว่าภารกิจจะเสร็จสิ้นและส่งเด็ก ๆ ทุกคนกลับสู่อ้อมอกของครอบครัว คงต้องให้พวกที่มองโลกในแง่ร้ายได้ศึกษาแนวคิดของคนเหล่านี้ ไม่ใช่ยกหางว่าต่างชาติดีเลิศประเสริฐศรี แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าใครในโลกนี้ไม่ควรทำคือ การซ้ำเติมคนที่เพิ่งเผชิญสถานการณ์เลวร้ายมาหมาด ๆ
ขณะที่ภารกิจการช่วยชีวิตยังดำเนินไปต่อเนื่อง ภารกิจด้านการเมืองของท่านผู้นำว่าด้วยการเดินสายหาเสียง อุ๊บ ! พบปะประชาชนเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ล่าสุด เดินทางไปที่จังหวัดระยอง แอ็กชั่นที่ปรากฏภาพข่าวคงหนีไม่พ้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กินอาหารจากถาดหลุมร่วมกับเด็ก ๆ โรงเรียนวัดเกาะ ตำบลหนองตะพาน อำเภอบ้านค่าย
ภาพการหยอกล้อทักทายและสอนสั่งเรื่องการทำความดีไม่ทำผิดกฎหมาย ต้องเป็นคนดี มีระเบียบ วินัย ถือเป็นเรื่องดีงามที่ผู้นำจะปลูกฝังให้แก่เยาวชน แต่ที่ทุกคนไม่เข้าใจคงเป็นเรื่องที่ท่านคงตั้งใจจะไปพูดให้เป็นข่าวหรือเป็นวาระที่อยู่ในใจจะต้องพูดทุกที่ทุกเวลาที่ไปปรากฏกายในต่างจังหวัด นั่นก็คือ การย้ำเรื่องความไม่ต้องการเข้ามามีอำนาจ การไม่สืบทอดอำนาจ
ก่อนที่จะตามมาด้วยการฝากเด็ก ๆ ให้ไปบอกผู้ปกครองออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง พร้อมบอกกับเด็กอีกว่าให้ไปบอกด้วยว่าโครงการไทยนิยมยั่งยืนของรัฐบาลไม่ใช่การเมือง รวมทั้งโฆษณาโครงการประชารัฐเพื่อลดความเหลื่อมล้ำอีกต่างหาก ก็ไม่รู้ว่าเด็กเหล่านั้นจะเข้าใจในสารที่ท่านผู้นำสื่อไปหรือไม่ นี่แหละภาวะกดดันของคนที่ต้องการจะสืบทอดอำนาจ อะไรที่เก็บไว้ในใจแล้วมันอึดอัดมีจังหวะต้องระบายทุกครั้ง
ส่วนการเดินทางไประยองหนนี้ ที่หลายคนจับตามองคือไปเพื่อดูดหรือส่งสัญญาณให้อดีตส.ส.ของจังหวัดทั้ง 4 คนช่วยพิจารณาแนวทางของพรรคพลังประชารัฐประกอบการตัดสินใจย้ายมาเข้าร่วมสังกัดหรือไม่ แต่คงยากเพราะอดีตส.ส.ทั้งหมดอยู่ภายใต้ชายคาประชาธิปัตย์ โดย สาธิต ปิตุเตชะ รองหัวหน้าพรรคประกาศกร้าว ไม่มีใครย้ายแน่เพราะมีโอกาสสอบตก
อย่างไรก็ตาม แม้อดีตส.ส.พรรคเก่าแก่จะยืนยันขันแข็ง แต่ที่น่าจะทำให้คนประชาธิปัตย์รู้สึกถึงภัยคุกคามจากการดูดคงเป็นภาพของ ณัฎฐพล และ ทยา ทีปสุวรรณ สองสามีภรรยาที่เคยร่วมชายคากับพรรค ไปต้อนรับท่านผู้นำด้วยบรรยากาศชื่นมื่น และก่อนหน้านั้นผู้เป็นสามีก็เคยไปคุยกับ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ทำเนียบรัฐบาลมาแล้ว
ตามสูตรคนทั้งคู่ย่อมออกมาปฏิเสธไม่มีนัยทางการเมือง ก่อนออกตัวแบบนิ่ม ๆ ว่าสถานการณ์ทางการเมืองเวลานี้ยังคุกรุ่นจึงไม่ใช่เวลาที่จะตัดสินใจใด ๆ คนที่เคยมีบทบาทอย่างสำคัญในช่วงชัตดาวน์ประเทศไทย และแสดงท่าทีต่อผู้นำเผด็จการอย่างออกนอกหน้าขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องสารภาพอะไร ก็เดากันได้ว่าปลายทางการเมืองก่อนเลือกตั้งนั้นจะไปหยุดที่จุดใด
ขณะที่ข้อครหาเรื่องสามมิตรและพลังประชารัฐ สมแล้วที่มีเนติบริกรอยู่รอบกาย เราจึงได้ยินการปฏิเสธขององคาพยพผู้มีอำนาจเป็นไปในทิศทางเดียวทั้งสิ้น พวกหนึ่งเป็นแค่กลุ่มการเมืองไม่ได้ตั้งพรรค ขณะที่อีกพวกก็ยื่นจดแจ้งขอตั้งพรรคแล้วแต่ยังไม่ได้ไปยื่นจัดตั้งอย่างเป็นทางการ ลีลาพลิกพลิ้วเช่นนี้ไม่น่าจะเดายากว่าใครคือกุนซือ
คงยากที่จะจับได้ไล่ทัน ไม่ต่างอะไรกับท่านผู้นำที่ท่องคาถายังไม่ถึงเวลาที่จะตัดสินใจใด ๆ ทางการเมือง ขอทำงานเพื่อบ้านเมืองก่อน เป็นสูตรสำเร็จไปเสียแล้ว เมื่อใช้วิธีสีข้างเข้าถูโดยที่คู่สนทนาหรือผู้วิจารณ์ไม่อาจจะทำอะไรได้ มันก็เหมือนกับการสีซอ อย่างที่บอกมาตลอดไม่เคยเห็นเผด็จการชาติไหนหรือยุคใดสมัยใดจะหน้าบาง ยิ่งยุค 4.0 ด้วยแล้วต้องอย่างหนา ถึกทนเท่านั้นจึงจะเกาะกุมอำนาจของตัวเองได้ต่อไป
ตัวอย่างที่เห็นได้ง่าย ๆ มีอย่างที่ไหนคนที่เขียนกฎหมายสูงสุดของประเทศแท้ ๆ พอคนไปถามเรื่องการดูดอดีตส.ส.มาร่วมพรรคโดยมีการเสนอให้ผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจะเข้าข่ายความผิดตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่ คำตอบที่ได้คือไม่ทราบ ตีมึน แกล้งโง่กันแบบเนียน ๆ อย่างนี้ ยังจะต้องปฏิเสธกันอีกหรือว่าขบวนการสืบทอดอำนาจไม่มีอยู่จริง