เกินกว่าข่าวลือของ BEAUTY

แล้วข่าวลือเก่าตั้งแต่ปีก่อน ก็กลับมาหลอกหลอนอีกครั้งสำหรับหุ้นขายปลีกเวชภัณฑ์ BEAUTY ที่วานนี้ ราคาร่วงลงมาใต้ 10.00 บาท อันเป็นราคาต่ำสุดในรอบ 17 เดือน หรือราคาต่ำสุดนับแต่แตกพาร์ครั้งสุดท้ายก็ว่าได้


พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล

แล้วข่าวลือเก่าตั้งแต่ปีก่อน ก็กลับมาหลอกหลอนอีกครั้งสำหรับหุ้นขายปลีกเวชภัณฑ์ BEAUTY ที่วานนี้ ราคาร่วงลงมาใต้ 10.00 บาท อันเป็นราคาต่ำสุดในรอบ 17 เดือน หรือราคาต่ำสุดนับแต่แตกพาร์ครั้งสุดท้ายก็ว่าได้

ราคาหุ้นร่วงครั้งนี้ นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BEAUTY ต้องออกโรงมาชี้แจงข่าวลือ ซึ่งการชี้แจงก็ยังคงซ้ำซากเหมือนเดิม เพราะเป็นข่าวลือเดิม ๆ นั่นเอง

ข่าวลือที่นำมาถล่มหุ้นประเภท “เรื่องเก่า เล่าซ้ำ” ประกอบด้วย 

1) คำสั่งซื้อสินค้าประดิษฐ์เพื่อสร้างยอดขายและกำไรเกินจริง

2) คุณภาพของเวชภัณฑ์ที่จำหน่ายไม่ผ่านมาตรฐาน

เรื่องแรกดูมีน้ำหนักกว่าเรื่องหลัง เพราะร่ำลือกันมานานแล้วว่า คำสั่งซื้อแบบเทน้ำเทท่าของสินค้า​ 2 แบรนด์ของ BEAUTY นั้น มีการตั้งบริษัทโดยผู้บริหารเองในจีน แล้วสั่งซื้อไปจากบัญชี โดยบริษัทผู้ซื้อนั้นยอมขาดทุน เพื่อที่จะทำให้ BEAUTY มีกำไรเทียมขึ้นมา ราคาหุ้นวิ่งแรง ผู้ถือหุ้นใหญ่เอาไปขายกองทุนต่างชาติได้กำไรเกินคุ้มกับค่าเสียหาย

เกม “ศรีธนญชัยขายขนม” ดังกล่าวบอกแต่แรก มีคนไม่เชื่อมากกว่าเชื่อ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เริ่มมีคนเชื่อมากขึ้น จนกระทั่งมีคนเชื่อมากกว่าไม่เชื่อ

เบื้องหลังที่คนเริ่มเชื่อมากจนเกิด “มวลวิกฤต” เป็นแรงเหวี่ยงให้เกิดการเทขาย ไม่ใช่เพราะหมอสุวินไม่น่าเชื่อถือหรือเพี้ยนไปแล้ว แต่อยู่ที่พฤติกรรมของหมอสุวินและภริยา ทำให้คนเชื่อว่า หมอสุวินและครอบครัวกำลังจะทิ้งบริษัทที่สร้างขึ้นมา

รากเหง้าเดิมของ BEAUTY มาจากการเป็นร้านแบกะดินที่สั่งสินค้าเวชภัณฑ์จากเกาหลีใต้มารีแพ็กเกจใหม่ ทำแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก แล้วระดมทุนในตลาด โดยตอนแรกเข้า ครอบครัวไกรภูเบศ ถือครองหุ้นใหญ่สุดถึง 70% แต่ได้ทยอยขายหุ้นออกมาให้กับกองทุนต่างชาติ จนล่าสุดต้นปีนี้ ถือหุ้นต่ำกว่า 25%

ทุกครั้งที่ขาย หมอสุวินจะอ้างเหตุผลว่าต้องการให้หุ้นมีสภาพคล่องในตลาด ซึ่งไม่น่าแปลก แต่ก็มีคำถามว่า การลดสัดส่วนถือครองหุ้นลง เป็นเพราะ 1) ไม่อยากทำงานหนักอะไรอีก 2) ตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปใช้ชีวิตกับความร่ำรวยจริง ๆ จัง ๆ กับทรัพย์สินเงินทอง นับหมื่นล้านบาท

ปรากฏการณ์ขายหุ้นทิ้งเพราะข่าวลือเรื่องแรก สมทบด้วยข่าวลือเรื่องหลัง (ซึ่งไม่น่าจะเป็นจริงเพราะว่า เวชภัณฑ์มาตรฐานต่ำหรือไม่สม่ำเสมอ ไม่ควรถูกนำมาขายในท้องตลาดได้) จึงเป็น “สงครามสื่อสาร” ที่ยากลำบากพอสมควร

ลำพังการปฏิเสธข่าวลือ ค่อนข้างยากอยู่แล้ว เพราะธรรมชาติของข่าวลือนั้น เป็นเรื่องที่พูดกันทำนอง “เขาเล่ากันว่า” ที่ยังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง

ข่าวลือบางครั้งก็มีมูลความจริงอยู่บ้าง เพราะคนที่ชำนาญการสร้างข่าวลือ รู้ดีว่า ข้อมูลเท็จปนจริงนั้น น่าเชื่อถือมากกว่า เข้าข่าย “ถ้าไม่มีไฟ จะไม่มีควัน” นั่นหมายความว่าในบางข่าวลืออาจมีมูล แต่อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดที่ได้ยิน

เนื่องจากข่าวลือไม่อาจหาต้นตอได้ ฉะนั้นจึงเป็นการยากที่จะเอาความจริงจากเรื่องข่าวลือต่าง ๆ ได้ ข่าวลืออาจเป็นเรื่องของการขยายความบิดเบือนความจริงโดยทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ แต่ว่าผลกระทบต่อข่าวลือในทางจิตใจนั้นหากบานปลายออกไป สามารถสร้างความดีใจ สะใจ และเสียใจ หรือ สร้างความกลัว เสียขวัญ หรือให้กำลังใจ ได้ทั้งสิ้น

ข่าวลือที่มีพลังมากที่สุดคือข่าวลือเชิงลบ ยิ่งในยุคที่ข่าวสารแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทำให้เหยื่อของข่าวลือเกิดขึ้นได้ง่ายมาก

กรณีของข่าวลือหุ้น BEAUTY เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนว่าความพยายาม “แก้ข่าว” ได้ผลต่ำกว่ามาตรฐานมาก หรืออาจจะไม่ได้ผลเลยก็ว่าได้

คำแก้ต่างข่าวลือของหมอสุวิน ที่เชื่อว่าตรงเป้าที่สุดใน 2 ข่าวลือที่เกิดขึ้นว่า

– บริษัทไม่ได้มีการทำคำสั่งซื้อปลอมขึ้นมา ทุกออเดอร์เป็นยอดขายที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด และได้รับเงินสดในการชำระค่าสินค้ามากกว่า 90% นอกจากนั้น BEAUTY เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ใช้ผู้สอบบัญชีที่มีมาตรฐานเชื่อถือได้และได้รับการรับรองจาก ก.ล.ต.มาโดยตลอด

– กรณีซัพพลายเออร์ไม่ผ่านมาตรฐานสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ทำให้ต้องงดผลิตสินค้าป้อนให้กับบริษัทนั้น ก็ไม่เป็นความจริง โดยบริษัทเลือกใช้โรงงานผลิตที่หลากหลายมากกว่า 10 บริษัททั้งในประเทศไทย และต่างประเทศที่มีมาตรฐาน ขณะที่สินค้าของบริษัทได้ผ่านการรับรองของ อย.และมาตรฐาน GMP ตลอดจนยังได้รับจ้างผลิตสินค้าให้แบรนด์ดังทั่วโลก

ทั้ง 2 คำชี้แจง ไม่มีอะไรใหม่ สิ่งที่ใหม่สุด และไม่ใช่ข่าวลือในคำแถลงข่าวต่อมาต่างหาก ที่ทำให้สถานการณ์ยากจะดีขึ้นในเวลาอันรวดเร็วได้

หมอสุวินระบุว่า ขณะนี้ไม่มีแผนซื้อหุ้นคืน (ไม่ว่าจะในนามบริษัทหรือส่วนตัว) แม้ว่าราคาจะปรับลงไปมาก แต่จะเน้นการบริหารธุรกิจที่มีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้ผลประกอบการออกมาดีตามเป้าหมาย พร้อมทั้งยืนยันว่าตนเองและครอบครัวจะยังคงนโยบายที่จะถือหุ้น BEAUTY ไม่ต่ำกว่า 20% ต่อไป เพื่อให้มีอำนาจในการกำหนดนโยบายของบริษัท

ท่าทีแบบ “ทำทองไม่รู้ร้อน” เช่นนี้ เท่ากับเปิดทางทำให้นักลงทุนบางส่วนที่เคยเป็นขาประจำมองข้ามช็อตไปว่า ค่าพี/อีของ BEAUTY ที่ล่าสุดระดับ 18 เท่า อาจจะยังไม่ถึงเวลาช้อนซื้อกลับก็ได้ เพราะสัญญาณจากหมอสุวินยังมีท่าทีเฉยเมยอย่างมาก จนผิดปกติ

Back to top button