พาราสาวะถี

อรชุน

เป็นอันว่าเสร็จสิ้นภารกิจช่วยเหลือ 13 ชีวิตทีมหมูป่าอะคาเดมี่พ้นถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่ ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้บัญชาการศอร.ได้แถลงถึงความสำเร็จไปเมื่อช่วงเย็นวันพุธที่ผ่านมา นี่คือภารกิจที่ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์บอกว่า “ปฏิบัติการมิชชั่นอิมพอสซิเบิล” ภารกิจสำเร็จที่เป็นไปได้เกิดจากความสามัคคีทั้งคนไทยและต่างประเทศเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียวกัน

ในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจยังไม่เสร็จสิ้นภารกิจเสียทีเดียว อย่างที่ผบ.ศอร.ว่า ยังเหลือภารกิจการส่งกลับน้อง ๆ ที่ถูกส่งไปโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ซึ่งได้รับดูแลเป็นอย่างดีก่อนที่จะส่งคืนอ้อมกอดของพ่อแม่ผู้ปกครอง ขณะที่วนอุทยานถ้ำหลวงฯ ก็ต้องส่งกลับไปดูแลฟื้นฟูคืนสภาพป่าอีกครั้ง ส่วนอุปกรณ์ที่นำมาใช้เรียกว่ามาจากทั่วโลกก็ต้องส่งคืนกลับไป

เหนือสิ่งอื่นใดคือการถอดบทเรียน ซึ่งไม่ใช่เพียงการกู้ภัยในถ้ำธรรมดา ปฏิบัติการครั้งนี้ต้องถือเป็นครั้งแรกของโลกที่กู้ภัยในถ้ำที่มีน้ำท่วมอันเป็นเรื่องยากลำบากมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องถอดบทเรียนทั้งหมดเพื่อให้หน่วยงานใช้พัฒนาในการกู้ภัย และบางส่วนจะได้นำไปเตือนไปสอนเด็ก ๆ ให้รู้ถึงอันตราย คำพูดของ 2 ฮีโร่นักดำน้ำชาวอังกฤษที่ติดตลกแต่ถ้าคิดให้ดีนี่คือสิ่งที่เขาชี้แนะแต่ไม่ใช่การตำหนิทั้ง 13 ชีวิตที่ได้รับการช่วยเหลือ

โดย จอห์น โวลันเธน ผู้ซึ่งเป็นคนแรกที่พบทั้ง 13 ชีวิตบริเวณเนินนมสาวกล่าวว่า “อย่าเข้าไปในถ้ำเวลาที่ฝนตกอีก” เช่นเดียวกับ เจสัน มาลินสัน ที่บอกว่าหลังจากนี้ขอให้ระมัดระวังและบอกแบบติดตลกเหมือนกันว่า “อย่าเล่นซนอีก” นี่ไม่ใช่การซ้ำเติมใด ๆ แต่เขาแนะให้เราใช้บทเรียนครั้งนี้ไปสอนลูกหลาน เพราะถือว่าสิ่งที่ทั้ง 13 ชีวิตเผชิญกับฝันร้ายครั้งนี้คือการรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ส่วนประเด็นเข้าใจไม่ตรงกันระหว่างผบ.ศอร.กับ อีลอน มัสก์ พ่อมดวงการเทคโนโลยีโลกนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ระบุไว้ชัดแล้ว “อย่าให้ทุกเรื่องเป็นดราม่าไปหมด อย่าพูดอะไรให้เสียหาย คิดว่าผบ.ศอร.คงไม่ได้มีเจตนารมณ์พูดอย่างนั้น พอแล้วเรื่องดราม่าเลิกได้แล้ว” ว่ากันตามนั้น เพราะหลาย ๆ เรื่องที่มันยืดเยื้อ ทะเลาะกันไปมาก็มาจากการสร้างกระแสดราม่าไม่เลิกนี่แหละ

วันวานคาดการณ์ไว้ว่า ที่ประชุมสนช.น่าจะเลือกว่าที่กกต. 7 คนที่ผ่านกระบวนการสรรหาและการเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา 6 คน เว้นไว้ 1 คนคือ สมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตรที่ติดปัญหาเรื่องการถูกฟ้องร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางจากกรณีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

แต่ปรากฏว่าในการเลือกจริงมีคนที่ไม่ถูกเลือกเพิ่มมาอีก 1 รายนั่นก็คือ พีระศักดิ์ หินเมืองเก่า อดีตผู้ว่าราชการหลายจังหวัด ที่ครั้งก่อนเคยยื่นใบสมัครแต่ถูกตีตกเพราะติดคุณสมบัติเรื่องการถือหุ้นในบริษัทสื่ออันเป็นข้อต้องห้ามในคุณสมบัติขั้นเทพ ทว่าเจ้าตัวได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวไปแล้ว จนผ่านการสรรหาและมีชื่อติดโผในที่สุด

สุดท้ายก็ไม่ได้รับความเห็นชอบจากสนช. แน่นอนว่าในรายของสมชายนั้นชัดเจนต่อสิ่งที่เป็นชนักปักหลัง โอกาสที่จะได้รับการปล่อยผ่านคงยาก สำหรับพีระศักดิ์คงต้องมีคำอธิบาย ถ้าไม่ใช่เรื่องคุณสมบัติต้องห้าม ก็น่าจะเป็นประเด็นส่วนตัว ต้องไม่ลืมว่าช่วงรอยต่อของ 3 รัฐบาลที่ผ่านมาเจ้าตัวโดนเด้งกระเด็นกระดอนด้วยข้อกล่าวหาว่าใกล้ชิดกับการเมืองฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมาโดยตลอด

เริ่มตั้งแต่คราวเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ในยุครัฐบาลเทพประทานได้ย้ายมาเป็นผู้ว่าฯ ปทุมธานี และถูกมองว่าใกล้ชิดกับ เนวิน ชิดชอบ โตมาจากสายของพรรคภูมิใจไทยเป็นผลให้เมื่อรัฐบาลเพื่อไทยเข้ามายุคของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เจ้าตัวจึงถูกเด้งอีกรอบไปเป็นผู้ว่าฯ ระนอง จากนั้นจึงขยับไปเป็นผู้ว่าฯ ชุมพร และขยับอีกรอบในยุครัฐบาลคสช.ซึ่งเป็นกรณีน่าศึกษาอย่างยิ่งสำหรับคนชื่อพีระศักดิ์

โดยจากผู้ว่าฯ ชุมพร พีระศักดิ์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมที่ดินเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2559 แต่ยังไม่มีการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นอธิบดีกรมที่ดิน ก็ถูกโยกไปเป็นผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราช และในการโยกไปเป็นผู้ว่าฯ นครศรีธรรมราชนั่นเอง พีระศักดิ์ถูกมือดีขึ้นป้ายใหญ่โตว่าชาวนครไม่ต้อนรับผู้ว่าฯ เสื้อแดง เรียกได้ว่าถูกลองของและยัดเยียดความเป็นพ่อเมืองที่เลือกข้างไปเสร็จสรรพ

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปดูในช่วงที่นั่งเก้าอี้อธิบดีกรมที่ดินระหว่างรอการโปรดเกล้าฯ เป็นระยะเวลา 3 เดือนเศษนั้น พีระศักดิ์ได้ไปจับเผือกร้อนคือ การเข้าไปจัดการขบวนการรุกป่าสงวน โดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งต่างก็รู้ที่มาที่ไปว่าเบื้องลึกใครเป็นเจ้าของถือครอง ไม่เพียงเท่านั้นเจ้าตัวยังเข้าไปจัดการพื้นที่ใกล้เคียงที่มีลักษณะเป็นป่าเขาด้วย นอกจากจะสร้างศัตรูได้ทั้งเมืองแล้ว ยังมีข่าวการทำงานข้ามหน้าข้ามตาคนของกระทรวงอื่นที่เขามีหน้าที่นี้โดยตรงด้วย

เมื่อพิจารณาจากปูมหลังดังว่าของพีระศักดิ์แล้ว ข้อกล่าวหาถูกร้องเรียนเรื่องความเป็นกลางทางการเมือง ก็ดูเหมือนจะมีน้ำหนักอยู่ไม่น้อยที่จะทำให้สนช.ตีตก แต่ถ้าพิจารณาอย่างลึกซึ้งปมอันเกี่ยวกับการทำงานที่ผ่านมาก็มีส่วนอยู่ไม่น้อย เพราะไม่รู้ว่าศัตรูที่ไปเหยียบตาปลามีใครบ้าง ถือเป็นอดีตข้าราชการอีกรายที่เผชิญกับวิบากกรรมทั้งสมัยที่อยู่ในตำแหน่งและพ้นเก้าอี้มาแล้ว

ทั้งนี้ จากการเห็นชอบ 5 รายชื่อของสนช. ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ครบองค์ประชุม จึงเป็นผลให้กระบวนการจากนี้มีการประชุมว่าที่กกต.ทั้ง 5 รายเพื่อเลือกประธานกกต. จากนั้นจึงนำความขึ้นกราบบังคมทูลฯ เพื่อมีการโปรดเกล้าฯ หากมีการโปรดเกล้าฯ ลงมา กกต.ทั้ง 5 คนนี้จะทำหน้าที่แทนกกต.ชุดเก่าที่จะต้องพ้นหน้าที่ไปทันที

ส่วนจำนวนขาดหาย 2 รายนั้น คงต้องติดตามกันต่อไปว่า คณะกรรมการสรรหากกต.จะดำเนินการอย่างไรจะใช้วิธีการประกาศรับสมัครใหม่หรือใช้วิธีการทาบทามมาให้ครบตามจำนวน ซึ่งถ้าย้อนไปดูบทสัมภาษณ์ของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกกรธ.ก็อยากให้ใช้วิธีทาบทามโดยมองว่าจะได้คนที่มีคุณสมบัติครบตามต้องการ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรมาถึงนาทีนี้ก็เป็นอันชัดเจนแล้วว่า เราจะได้กกต.ชุดใหม่มาทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งแน่นอน และน่าจะเกิดขึ้นต้นปีหน้าเช่นกันถ้าใครบางคนไม่อยากถูกเรียกว่าเป็นยุทธ์น็อคคิโอ