พาราสาวะถี
เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกต่างแสดงความยินดีที่วันนี้ 13 ชีวิตหมูป่าอะคาเดมี่ได้กลับคืนสู่อ้อมอกของครอบครัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่รัฐบาลได้จัดการแถลงข่าวส่งหมูป่ากลับบ้านเมื่อวันพุธที่ผ่านมา งานนี้ชัดเจนถึงการเข้าไปภายในถ้ำหลวงและการดำรงชีวิตในห้วง 10 วันก่อนที่เจ้าหน้าที่จะไปพบตัว จากปากคำของ เอกพล จันทะวงษ์ หรือ โค้ชเอก
อรชุน
เป็นเรื่องที่คนทั้งโลกต่างแสดงความยินดีที่วันนี้ 13 ชีวิตหมูป่าอะคาเดมี่ได้กลับคืนสู่อ้อมอกของครอบครัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่รัฐบาลได้จัดการแถลงข่าวส่งหมูป่ากลับบ้านเมื่อวันพุธที่ผ่านมา งานนี้ชัดเจนถึงการเข้าไปภายในถ้ำหลวงและการดำรงชีวิตในห้วง 10 วันก่อนที่เจ้าหน้าที่จะไปพบตัว จากปากคำของ เอกพล จันทะวงษ์ หรือ โค้ชเอก
พวกที่ชอบดราม่าก็จะพยายามหาเหตุติติงอยู่ตลอดเวลา ต่อท่วงทำนองหรือภาษาที่สื่อของน้อง ๆ ทั้ง 13 ชีวิต อย่าลืมว่าคนเหล่านี้เด็กสุดอายุแค่ 11 ขวบ สูงสุดคือ 25 ปี ภาษาที่ใช้เป็นไปด้วยความซื่อและจริงใจ ไม่ได้เสริมเติมแต่งให้ดูดัดจริตหรือสร้างภาพใด ๆ นี่เป็นหนึ่งตัวอย่างของสิ่งที่ต้องเฝ้าระวังคือพวกที่ชักใบให้เรือเสียหรือจะทำให้น้อง ๆ เหล่านี้กลับไปใช้ชีวิตไม่ปกติสุข
เห็นด้วยกับครอบครัวของ “น้องโน้ต” เด็กชายประจักษ์ สุธรรม ที่ประกาศชัด หลังจากนี้ทางครอบครัวของดให้สัมภาษณ์และอยากขอให้สื่อมวลชนอย่าตามน้องและครอบครัว อยากให้น้องโน้ตกลับไปใช้ชีวิตตามวัยที่ควรจะเป็น พร้อมขอบคุณทุกคนที่ให้การช่วยเหลือมาโดยตลอด แน่นอนว่าครอบครัวอีก 12 ชีวิตก็คงคิดไม่ต่างกัน
ตรงนี้พวกชอบสร้างกระแสหรือทำตัวเป็นคนขวางโลกไม่ต้องไปกล่าวหาว่า น้อง ๆ และครอบครัวถูกล้างสมองมาหรือเปล่า เพราะไม่ว่าใครที่หวังดีและประสงค์ดีต่างก็แสดงความเป็นห่วงในเรื่องนี้กันทั้งนั้น เกรงว่าทั้งหมดจะถูกคุกคามจากพวกที่หวังผลประโยชน์ สร้างความนิยมให้กับตัวเองและองค์กร จนไม่สนใจว่า ชีวิตของคนเหล่านั้นจะเดินกันต่อไปอย่างไร
ถูกต้องแล้วที่ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายจะประกาศในวันแถลงข่าว จากนี้ไปทั้ง 13 ชีวิตจะอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ โดยมี สมศักดิ์ คณาคำ นายอำเภอแม่สายเป็นผู้ควบคุม ใครที่เป็นห่วงน้อง ๆ ทั้งหมดก็คงเบาใจได้ในระดับหนึ่ง แต่คงต้องระวังพวกชอบใช้วิชามาร หากพบต้องใช้กฎหมายเล่นงานอย่างเด็ดขาด และความจริงการที่จะให้นายอำเภอแม่สายดูแลในเรื่องนี้ก็น่าจะดีกับทุกฝ่ายโดยเฉพาะสื่อมวลชน ที่จะได้ข้อมูลถูกต้องและครบถ้วน ไม่ต้องมีประเด็นให้กลายเป็นข้อขัดแย้งกันภายหลัง
วกกลับสู่ถนนสายการเมือง ปลายสัปดาห์นี้ต่อเนื่องไปจนถึงต้นสัปดาห์หน้า ไม่น่าจะมีอะไรโดดเด่นไปมากกว่าการเดินทางไปลงพื้นที่และประชุมครม.สัญจรที่จังหวัดอำนาจเจริญและอุบลราชธานี ความจริงมีประเด็นให้พูดถึงกันมาตั้งแต่ต้นเดือนหลังจากที่รัฐบาลย้ายสถานที่ประชุมจากพะเยาและเชียงราย มาเป็นพื้นที่ภาคอีสานแทน
เรื่องเหตุผลฟังคำอธิบายจากคนในรัฐบาลไปหมดแล้ว แต่ที่คนให้ความสนใจกันมากเป็นพิเศษคือการเดินทางไปครั้งนี้เพื่อตอกย้ำและทำให้นักการเมืองที่อยู่ในข่ายถูก “พลังดูด” ส่งข้อเสนอมาให้ ได้ตัดสินใจกันง่ายขึ้น แน่นอนว่าเมื่อไปถามรัฐมนตรีร่วมรัฐบาลคำตอบที่ได้ย่อมเป็นไปในลักษณะของการปฏิเสธ และย้ำไปทิศทางเดียวกันคือ ไม่มีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง
ความจริงหากเป็นรัฐบาลจากการเลือกตั้งคงไม่ถูกกังขามากขนาดนี้ อย่างดีก็แค่คอยจับผิดว่าคนที่เป็นนายกฯ และรัฐมนตรีใช้เวลาราชการไปหาเสียงหรือไม่ แต่พอเป็นรัฐบาลจากรัฐประหารลำพังหมดอำนาจแล้วกลับบ้านไปเลี้ยงหลานก็คงไม่มีใครมาตอแย เมื่อมีเรื่องการสืบทอดอำนาจและเด่นชัดยิ่งว่าท่านผู้นำและคณะจะไปต่อ จึงเกิดข้อครหาความได้เปรียบทางการเมือง
ไม่เพียงเท่านั้น คนอยู่ในอำนาจไม่ได้ออกหน้าแสดงนำในการชักชวนพวกเสือหิวเสือโหยทั้งหลายให้ย้ายสังกัดทางการเมือง โดยมีคนอื่นไปดำเนินการแทนหรือจะเรียกว่าเป็นนอมินีก็ได้ แต่ความลับไม่มีในโลก เพราะคนที่ไปเดินสายดันแสดงตัวและแบไต๋ให้ฝ่ายถูกดูดรับรู้กันอย่างเอิกเกริก ทุกคำถามมันจึงย้อนมาหาฝ่ายถือครองอำนาจอย่างช่วยไม่ได้
เต็มที่สำหรับองคาพยพของคณะเผด็จการคงต้องท่องคาถาเดียวกัน ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องและกลุ่มคนที่เคลื่อนไหวยังไม่ได้ตั้งพรรคการเมือง นี่คือสูตรสำเร็จที่ทำให้คนถามไปต่อไม่ได้ จึงเหลือแต่ในทางปฏิบัติว่า ตัวแทนที่ไปทำหน้าที่ดูดนั้นได้ดำเนินการอย่างแนบเนียนไร้ที่ติ ไม่มีเสียงนินทา ด่าไล่หลังได้หรือไม่
จะว่าไปแล้วก็คงยาก เพราะหากไปกันแบบเงียบ ๆ ไม่มีแรงจูงใจ ไร้ข้อแลกเปลี่ยน แมวที่ไหนจะตัดสินใจมาร่วมงานด้วย ทุกอย่างมันจึงต้องจัดหนักจัดเต็มแบบฟูลออปชั่น พอเป็นเช่นนั้นย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะตกเป็นขี้ปากและทุกอย่างจะวกกลับมาตั้งคำถามกับท่านผู้นำและคณะ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวัฏจักรของการเมืองในรูปแบบของเผด็จการผู้ต้องการสืบทอดอำนาจ
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายที่ถูกดูดอย่างหนักอย่างพรรคนายใหญ่ ก็คงต้องเลิกสร้างกระแสดราม่าด้วยเหมือนกัน เพราะการรำพึงรำพัน บีบน้ำตาขอความเห็นใจนั้น เลือกที่จะใช้เป็นบางจังหวะอาจได้คะแนนสงสาร แต่ถ้าพร่ำเพรื่อเกินงาม คนจะเกิดการหมั่นไส้และเบื่อหน่ายในที่สุด เหมือนที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สะกิดเตือนมาดัง ๆ ต่อล้อต่อเถียงไปก็ไร้ประโยชน์
สรุปง่าย ๆ ได้ใจความว่า การเอาผลประโยชน์หรืออะไรมาใช้แลกเปลี่ยนกันทางการเมืองเป็นจุดเริ่มต้นที่ไม่ดีแน่นอนมีแต่จะทำให้การเมืองแย่ลง ดูเหมือนจะออกอาการปลง ๆ แต่ไม่ใช่วิสัยน์ของผู้นำพรรคประชาธิปัตย์แน่นอน บอกมาตลอดการเมืองมันไม่ได้มีแค่เรื่องดูดไม่ดูดเท่านั้น คนที่อยู่ในอำนาจแม้จะเชื่อมั่นในความเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแต่ถ้าตั้งการ์ดไม่รัดกุม ก็มีโอกาสถูกสอยร่วงได้ง่าย ๆ
วันนี้มีประเด็นรอ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับจากภูฏานมาตอบ ไม่รู้จะเรียกความหงุดหงิดได้หรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นมีทหารเกณฑ์ไปคอยรับใช้โหร.คมช.ที่จังหวัดเชียงใหม่ หรือการอำนวยความสะดวกเต็มที่ให้กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ และ สุริยะใส กตะศิลา ในวันที่เดินทางไปพบชาวนาจังหวัดร้อยเอ็ดประหนึ่งว่าเป็นคณะรัฐมนตรีพบประชาชน ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับรัฐบาลแต่ประเด็นอย่างนี้แหละที่สร้างอารมณ์ร่วมและเรียกความรู้สึกเลือกปฏิบัติหรือสองมาตรฐานได้เป็นอย่างดี