พาราสาวะถี

จับตาดูว่าก่อนหรือหลังประชุมครม.วันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะตอบโต้ประเด็นที่ถูกพาดพิงทางการเมือง 2 ดอกทั้งจาก ทักษิณ ชินวัตร และ นคร มาฉิม หรือไม่ หรือจะปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป เล่นเกมแสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษ หรืออีกนัยยิ่งต่อความยาวสาวความยืดออกไป เผด็จการคสช.จะเสียมากกว่าได้ ดังนั้น สงบจิตสงบใจไว้เพื่อเดินตามแผนที่วางกันไว้อย่างแยบยลดีกว่า


อรชุน

จับตาดูว่าก่อนหรือหลังประชุมครม.วันนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะตอบโต้ประเด็นที่ถูกพาดพิงทางการเมือง 2 ดอกทั้งจาก ทักษิณ ชินวัตร และ นคร มาฉิม หรือไม่ หรือจะปล่อยให้ทุกอย่างผ่านไป เล่นเกมแสดงตัวเป็นสุภาพบุรุษ หรืออีกนัยยิ่งต่อความยาวสาวความยืดออกไป เผด็จการคสช.จะเสียมากกว่าได้ ดังนั้น สงบจิตสงบใจไว้เพื่อเดินตามแผนที่วางกันไว้อย่างแยบยลดีกว่า

ความจริงแล้วทักษิณอุตส่าห์ส่งสัญญาณหยั่งเชิงและคิดว่าน่าจะสร้างกระแสได้ดีผ่านการพูดในงานเลี้ยงอวยพรวันเกิดครบรอบปีที่ 69 ที่กรุงลอนดอน ทั้งเรื่องของ “ทหารไม่ใช่ลูกผู้ชาย” ที่ทำการรัฐประการ และประกาศความเชื่อมั่นยังไงสนามเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นพรรคเพื่อไทยก็ชนะถล่มทลายแน่นอน แต่ปรากฏว่านครกลับสร้างเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่า

จะว่าไปแล้วเนื้อหาที่ “นคร” อดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์สาธยายเพื่อขอโทษนายใหญ่ด้วยความจริงใจนั้น เป็นสิ่งที่รับรู้กันอยู่แล้วว่ามี “ขบวนการล้มระบอบทักษิณ” และมันก็เป็นอย่างที่นครว่าคือมีทั้ง แนวร่วมฝ่ายอนุรักษนิยมมีความพร้อมทั้งทุน เครือข่าย นายทุน กลุ่มขุนศึก กลุ่มศักดินาอำมาตย์และเครือข่ายข้าราชการ

รูปรอยของแผนการก็ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่เป็นความถนัดของพรรคเก่าแก่คือ ใช้สรรพกำลังทุกองคาพยพอย่างเต็มที่ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ใช้วาทกรรมทำลายทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะ รวยแล้วโกง โกงทั้งโคตร ทุจริตเชิงนโยบายและอื่น ๆ แต่ที่น่าสนใจซึ่งมันก็แสดงผ่านกระบวนการพิจารณาในหลาย ๆ เรื่อง ตามที่นครบอกก็คือ ฝ่ายตุลาการระดับสูงบางคนที่เชื่อมั่นและศรัทธาฝ่ายเผด็จการอนุรักษนิยมในนามตุลาการภิวัฒน์

ขบวนการเล่นงานระบอบทักษิณ รูปรอยที่ก่อร่างกันตั้งแต่ปี 2548 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงม็อบชัตดาวน์ประเทศปี 2557 เห็นได้อย่างเด่นชัดว่า ลำพังเพียงแค่พลังทางการเมืองของพรรคที่พ่ายแพ้การเลือกตั้งต่อพรรคของทักษิณนั้น ไม่มีปัญญาที่จะทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ มิหนำซ้ำ ยิ่งมองไปยังต้นทุนความน่าเชื่อถือของคนที่ออกมานำอย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วยแล้ว ถ้าไม่มีพลังอื่นมาหนุนหลัง ถามว่าคนอย่างเทพเทือกจะสามารถจูงจมูกคนมีระดับที่น่าจะรู้กำพืดของนักการเมืองทุกคนเป็นอย่างดีได้อย่างนั้นหรือ

จริงอย่างที่นครว่า การสมคบคิด การวางแผนการยึดอำนาจ กระบวนการทำลายประชาธิปไตยทำลายอำนาจของประชาชนจึงมีอยู่จริง ไม่ใช่เป็นแค่เพียงทฤษฎี แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะนี่มันคือสงคราม สงครามระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายเผด็จการและแนวร่วมฝ่ายเผด็จการ ในหลาย ๆ เรื่อง หลาย ๆ เหตุการณ์ หลาย ๆ สถานการณ์อดีตส.ส.รายนี้อยู่และรับรู้จากเหตุการณ์จริงนั้นด้วย

ส่วนท่าทีของคนพรรคเก่าแก่ที่จะให้ร้ายนครว่าเป็นคนทรยศหรือพวกขายตัวขายอุดมการณ์ให้ทักษิณหรืออะไรแก้แล้วแต่ แม้กระทั่งเสียงตอบโต้มาจากกระบอกเสียงของรัฐบาลเผด็จการ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องปกติธรรมดา จะมีใครหน้าไหนกล้ายืดอกออกมายอมรับว่า รวมหัวกันเพื่อทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกของประชาชนตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย

รูปรอยต่าง ๆ เหล่านี้ถ้าย้อนกลับไปดูสิ่งที่อดีตนายกฯ ผู้ล่วงลับ อย่าง สมัคร สุนทรเวช เคยพูดถึง “ไอ้หัวเถิก” รวมไปถึงพิจารณาวาทกรรม “ม็อบมีเส้น” มันทำให้เห็นขบวนการทำลายระบอบประชาธิปไตยที่เกิดจากความกลัวและเกลียดชังที่มีต่อตัวของทักษิณและเครือข่ายทั้งสิ้น แม้ว่าตัวทักษิณเองจะเหลิงอำนาจในช่วงที่มีอำนาจ แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่คนที่อ้างว่ารักประชาธิปไตยจะต้องมาใช้วิธีนอกระบบมาจัดการ

เสียงสะท้อนของนครอีกประการที่ต้องขีดเส้นใต้กันไว้ให้ดีคือ “พวกเราขอแช่แข็งประเทศสัก 5-20 ปีก่อน จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าพวกเราจะบริหารจัดการอำนาจและปกครองแบบเบ็ดเสร็จ” นี่ไม่ใช่ข้อกล่าวหาอันเลื่อนลอย แต่มันมีเค้าลางที่เชื่อได้ว่า ผู้มีอำนาจในปัจจุบันและองคาพยพรวมทั้งพวกที่สุมหัวอยู่เบื้องหลัง ต้องการจะให้มันเป็นเช่นนั้นจริง

ต้องไม่ลืมว่า กระบวนการเลือกตั้งที่อ้างกันว่าจะเป็นไปตามโรดแมปคือกุมภาพันธ์ปีหน้า ก็เป็นเพียงสัญญาปากเปล่าเพื่อลดแรงกดดันจากนานาชาติเท่านั้น ขณะที่กระบวนการทั้งหมดที่จะนำไปสู่จุดนั้นหรือแม้กระทั่งระหว่างเลือกตั้งและรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ อำนาจวิเศษตามมาตรา 44 ของพลเอกประยุทธ์ยังมีอยู่เต็มมือ

มีใครรับประกันได้ว่า หลังการเลือกตั้งหากทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผู้มีอำนาจต้องการ กล่าวคือถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งมาอย่างถล่มทลาย หรือมีสัญญาณว่าพรรคเก่าแก่อาจจะหันไปจับมือกับศัตรูเพราะไม่ต้องการให้อำนาจเผด็จการอยู่ยาวโดยที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ จะไม่มีการใช้อำนาจวิเศษเพื่อจัดการให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ตัวเองและองคาพยพสืบทอดอำนาจต้องการ

สิ่งที่เป็นคุณสมบัติพิเศษของเผด็จการที่เคยย้ำมาตลอดคือความหน้าทน ไม่สนใจว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร ไม่ยินดียินร้ายกับการเปรียบเทียบใด ๆ มิเช่นนั้น คงไม่ปล่อยให้กลุ่มสามมิตรเดินสายดูด จนกระทั่งแม่ทัพนายกองต้องยอมเสียหาย สีข้างถลอกปอกเปิกด้วยการยืนยันว่า สิ่งที่มีการเคลื่อนไหวนั้นไม่ได้ผิดกฎหมาย ไม่ได้เป็นเรื่องทางการเมือง

ข้าง ๆ คู ๆ กันอย่างหน้าด้าน ๆ ถ้านักการเมืองเดินสายคุยกันแล้วไม่พูดเรื่องการเมือง ถามว่าจะเสียเวลาไปหาพระแสงอะไร และยิ่งเป็นการพบปะกันที่เกิน 5 คนขึ้นไปแล้ว คำสั่งคสช.ที่ 3/2558 เรื่องการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปนั้นถามว่านี่ยังเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้หรือไม่ หรือมันขึ้นอยู่กับการตีความว่าใครที่เป็นพวกเคลื่อนไหว

อย่างที่แม่ทัพบางรายว่า การพบปะกันตนถือว่าเป็นเรื่องปกติ จะไปกันกี่กลุ่มกี่คนก็ทำได้ ไม่ผิดกฎหมาย แต่ขออย่าทำอะไรที่ผิดและละเมิดกฎหมายเท่านั้น สรุปแล้วมันผิดหรือไม่ผิดแล้วอะไรที่เป็นการกระทำที่ถือว่าผิด อยู่ที่ทหารผู้ที่ไปจัดการในเรื่องนั้น ๆ จะตีความใช่หรือไม่ แค่ปมเท่านี้ก็พอจะเดาได้แล้วว่าช่วงของการเลือกตั้งมันจะมีการตีความข้อกฎหมายกันอย่างไรและใคร พวกไหนที่จะได้ประโยชน์จากการตีความ นี่ไงผลของการสุมหัวของพวกที่นครว่า จะมาทำให้ประเทศเดินหน้าอย่างนั้นหรือ ไม่มีทางมีแต่จะถอยหลังเข้ารกเข้าพงเสียมากกว่า

 

Back to top button