พาราสาวะถี

ตีบทแตก ข่มอารมณ์ได้ดีเยี่ยม สำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ปวารณาตัวตั้งแต่ต้นปีจะเป็นผู้นำประเทศที่อารมณ์ดีตลอดเวลา วันวานหลังประชุมครม.จึงได้เห็นการปฏิเสธตอบคำถามทางการเมือง โดยท่านผู้นำรีบโยนไปว่าสื่ออย่าถามคำถามเช่นนี้ เพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมามีบทเรียนแล้วว่า เมื่อตัวเองตอบจะด้วยพลั้งเผลอหรือความโมโห ก็จะถูกนำไปขยายผลสร้างความขัดแย้งไม่หยุดหย่อน


อรชุน

ตีบทแตก ข่มอารมณ์ได้ดีเยี่ยม สำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ปวารณาตัวตั้งแต่ต้นปีจะเป็นผู้นำประเทศที่อารมณ์ดีตลอดเวลา วันวานหลังประชุมครม.จึงได้เห็นการปฏิเสธตอบคำถามทางการเมือง โดยท่านผู้นำรีบโยนไปว่าสื่ออย่าถามคำถามเช่นนี้ เพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมามีบทเรียนแล้วว่า เมื่อตัวเองตอบจะด้วยพลั้งเผลอหรือความโมโห ก็จะถูกนำไปขยายผลสร้างความขัดแย้งไม่หยุดหย่อน

ดังนั้น บิ๊กตู่จึงขอร้อง “ช่วงนี้ผมจะไม่มีการตอบโต้ทางการเมืองกับใครทั้งสิ้น ที่เหลือจะเป็นเรื่องของการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ และเรื่องนี้คิดว่าสามารถขอความร่วมมือจากสื่อได้ เราก็ต้องเรียนรู้เหมือนกันทั้งสองฝ่าย ทั้งคนถามและคนตอบก็ขอฝากสื่อไว้ด้วยแล้วกัน” ถ้าไม่มองโลกในแง่ร้ายก็ถือว่า เป็นสัญญาณดีของคนที่จะก้าวไปเป็นนักการเมืองมืออาชีพ และขอให้เป็นเช่นนี้ตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน

หรือเป็นเพราะว่ามีโฆษก (ปาก) ดีคอยแก้ต่างและตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามให้อยู่แล้วไม่ทราบ ท่านผู้นำจึงเบาใจได้ เพราะวันเดียวกัน “ไก่อู” สรรเสริญ แก้วกำเนิด ได้โต้ตอบ นคร มาฉิม ยืนยันกองทัพไม่ส่วนเกี่ยวข้องกับการล้มรัฐบาลทั้งยุคทักษิณและยิ่งลักษณ์ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใดเมื่อประเทศถึงทางตันก็จำเป็นต้องรัฐประหาร

แหม ! ช่างพูดได้ดีเหลือเกิน แต่คงหาคนเชื่อได้ยาก หากเป็นตรรกะอย่างที่ไก่อูว่าจริง แล้วในยุคของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประเทศก็ถึงทางตันไม่ใช่หรือ ทำไมไม่เลือกที่จะรัฐประหารแทนการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง จนมีคนตายเกือบร้อยศพบาดเจ็บอีกหลายพันคน เช่นนี้จะบอกได้หรือไม่ว่ากองทัพเลือกปฏิบัติ

ความจริงไม่ต้องอธิบายใด ๆ ถ้าเห็นว่าใครสร้างความเสียหายก็ให้ใช้ช่องทางตามกฎหมายดำเนินการ ตัวของนครเองในฐานะคนเปิดโปง ก็คงพร้อมที่จะต่อสู้ วันนี้ทีมกฎหมายของพรรคเก่าแก่จะตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพื่อดำเนินคดีในเรื่องนี้ เช่นเดียวกับกองทัพหรือไม่ว่าใครก็ตามที่ถูกพาดพิงโดยอดีตส.ส.พิษณุโลกของพรรคประชาธิปัตย์รายนี้ สามารถใช้กระบวนการยุติธรรมมาพิสูจน์กันให้ชัดเจนไปเป็นดีที่สุด

สิ่งสำคัญคือบทบาทของไก่อูเองหรือแม้กระทั่งรัฐมนตรีบางรายในรัฐบาลเผด็จการชุดนี้ ก็มีส่วนอย่างสำคัญในรัฐบาลเทพประทาน รวมถึงเป็นทั้งผู้สั่งการและปฏิบัติการในการใช้กระสุนจริงปราบผู้ชุมนุมเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 ด้วย เมื่อมีการอ้างว่ารัฐบาลใดถึงทางตันก็ต้องรัฐประหาร หากคนที่เป็นโฆษกรัฐบาลและเป็นถึงรักษาการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์คิดได้ ก็ให้อธิบายกับสังคมเสียใหม่ ว่ามันไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จเช่นนั้นเสมอไป โดยเฉพาะเมื่อกองทัพอยู่ในสายบังคับบัญชาของพวกที่ถูกเรียกว่าบูรพาพยัคฆ์

แต่จะไม่แปลกและไร้ข้อโต้แย้งโดยสิ้นเชิงหากจะมีการบอกว่า เหตุที่ต้องเลือกยึดอำนาจจากรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์นั้น เป็นเพราะมีการใช้นโยบายประชานิยมจนทำให้ประเทศชาติเสียหาย กองทัพจึงยอมไม่ได้ จำเป็นต้องเข้ามาปลดแอก จนเกิดเป็นนโยบายประชารัฐและไทยนิยมยั่งยืน ซึ่งจะสร้างความมั่นคง มั่งคั่ง ให้กับประชาชนอย่างยั่งยืนตามที่เห็น

ตรงนี้ต่างหากที่คนจะเชื่อและไม่ต้องไปขัดคอกับองคาพยพของคณะเผด็จการ ทว่าคงจะกระดากหากที่จะอหังการถึงขนาดนั้น เนื่องจากเวลานี้เป็นที่รู้กัน อย่างเดียวที่เป็นที่ประจักษ์ของทุกคนในประเทศคือ ความสงบเรียบร้อย ไร้ม็อบชนม็อบใด ๆ และทำท่าว่าจะสงบเงียบเชียบ นิ่งสนิทอันหมายถึงเงินในกระเป๋าของคนหาเช้ากินค่ำด้วย

น่าเสียดายอีกประการคือ อธิบดีกรมกร๊วกพยายามจะอธิบายถึงเรื่องการปฏิรูปที่อ้างว่าต้องใช้เวลา ถ้าทำปุ๊บปั๊บจะเรียกว่าปฏิวัติ นี่เขาเรียกว่าเป็นการเล่นลิ้น ภาษาของนักการเมืองก็คือขี่ม้าเลียบค่าย ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ควรจะบอกหรือยืนยันเสียให้ชัดว่าที่นครกล่าวหามีการวางแผนจะอยู่ยาว 5-20 ปีนั้นจริงหรือเปล่า และคนที่ยังอยู่ในอำนาจเวลานี้จะสืบทอดอำนาจเพื่อหยุดยั้งความขัดแย้งหรือทางตันอย่างที่ไก่อูว่าด้วยใช่หรือไม่ ต้องให้มันชัดเจนขนาดนั้น

ประเด็นการสุมหัวล้มระบอบทักษิณและสถาปนาอำนาจของอำมาตยาธิปไตยและเครือข่ายให้เข้มแข็งด้วยการแช่แข็งประเทศอีกนับสิบปีนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ใครมาเปิดโปงและไม่จำเป็นที่จะต้องฟังคำชี้แจงจากใครคนใดคนหนึ่ง เพราะพฤติกรรมรวมทั้งผลที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้มันอธิบายสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าไม่มีใครคาดเดาได้ว่าตอนอวสานของสิ่งที่เห็นและเป็นไปเวลานี้มันจะเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง

ที่จบแน่ ๆ คือ การเลือกประธานกกต.หลังจากที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าแม้สนช.จะเลือกว่าที่กกต.ทั้ง 5 คนแล้ว การจะเลือกประธานกกต.เกรงว่าจะขัดต่อมาตรา 12 ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกกต. ทว่าทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินการในเรื่องนี้ก็ยืนยันในข้อกฎหมายว่าไม่ขัด เช่นเดียวกับ มีชัย ฤชุพันธุ์ ในฐานะคนเขียนกฎหมายก็การันตี

เมื่อเป็นเช่นนั้น วานนี้การประชุมของว่าที่กกต.ทั้ง 5 คนจึงเกิดขึ้น แต่มีพลิกโผเล็ก ๆ เมื่อแคนดิเดต 2 รายก่อนหน้าทั้ง ฉัตรชัย จันทร์พรายศรี ว่าที่กกต.สายศาล กับ ธวัชชัย เทอดเผ่าไทย ว่าที่กกต.จากการสรรหาไม่ได้รับเลือกตามคาดหมาย หากแต่เป็น อิทธิพร บุญประคอง  อดีตอธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และอดีตเอกอัครราชทูตหลายประเทศเป็นผู้คว้าพุงปลาเข้าวินแทน

ตามกฎหมายใหม่ตำแหน่งประธานกกต.ถือว่าสำคัญ เพราะจะไม่มีการเล่นเก้าอี้ดนตรีคือหมุนเวียนกันทำหน้าที่อีกแล้ว หากใครลาออกจากตำแหน่งนี้ก็ถือว่าจะสิ้นสภาพกกต.ไปด้วย ก็ถือเป็นการแก้ปัญหาที่เด็ดขาดของคนเขียนกฎหมาย จากนี้ไปจึงเหลืออยู่ที่ขั้นตอนประธานสนช.นำรายชื่อว่าที่ประธานกกต.และว่าที่กกต.ทั้งหมดขึ้นทูลเกล้าฯ  เมื่อมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯลงมาทั้งหมดก็จะทำหน้าที่แทนกกต.ชุดเก่าทันที น่าขีดเส้นใต้คำพูดของมีชัยเลือกตั้งจะมีขึ้นอยู่รอมร่อแล้ว ยังจะมาเล่นเกมตีความกฎหมายกันหาอะไร

Back to top button