พาราสาวะถี

ดีที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ดีที่เป็นอดีตส.ส. มิเช่นนั้นคงถูกตั้งคณะกรรมการสอบไปแล้ว กรณี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พาอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยทั้งหญิงชายทัวร์กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีคนปล่อยผ่าน คงมีคนเฝ้าติดตามเพื่อที่จะยื่นร้องให้ตรวจสอบว่าการเดินทางไปต่างประเทศของอดีตส.ส.พรรคนายใหญ่นั้น ผิดกฎหมายข้อใดหรือไม่


อรชุน

ดีที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ดีที่เป็นอดีตส.ส. มิเช่นนั้นคงถูกตั้งคณะกรรมการสอบไปแล้ว กรณี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พาอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยทั้งหญิงชายทัวร์กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ แต่เชื่อว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีคนปล่อยผ่าน คงมีคนเฝ้าติดตามเพื่อที่จะยื่นร้องให้ตรวจสอบว่าการเดินทางไปต่างประเทศของอดีตส.ส.พรรคนายใหญ่นั้น ผิดกฎหมายข้อใดหรือไม่

นี่เป็นคุณลักษณะพิเศษของคนที่อยู่ฝั่งระบอบทักษิณ ซึ่งสามารถที่จะเรียกแขกหรือมีเหตุให้ถูกดำเนินการเอาผิดได้อย่างชนิดที่คาดไม่ถึง อันเป็นการสอดคล้องกับข้อมูลที่ นคร มาฉิม อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกมาแฉขบวนการล้ม ทักษิณ ชินวัตร พร้อมพวก โดยฉายภาพให้เห็นองคาพยพอันมหึมา ใช้สารพัดวิชามาร

ถูกผิดเท็จจริงประการใด ฝ่ายที่ถูกกล่าวหาและเห็นว่าเสียหายสามารถไปฟ้องร้องเอาผิดกับคนที่ปูดข้อมูลนี้ได้ เรื่องฝักฝ่ายทางการเมืองเป็นความปกติธรรมดาของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย หากต่อสู้กันแบบแฟร์ ๆ และไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหรือเล่นกันนอกกติกา แต่ที่ผ่านมาคนจำนวนไม่น้อยอดสงสัยไม่ได้ถึงมาตรฐานของการชี้เป็นชี้ตาย

มันไม่ได้เกิดคำถามแค่ว่า “สองมาตรฐาน” เท่านั้น ผลของการเลือกปฏิบัติมันลามไปถึงความน่าเชื่อถือขององค์กรต่าง ๆ เหล่านั้น เพราะคสช.เองก็ยอมรับหลังเข้ามายึดอำนาจในช่วงแรก จะต้องมีการสังคายนากระบวนการยุติธรรมของประเทศ หากนั่นไม่ใช่แค่เหตุผลอันสวยหรูเพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเอง ประเด็นนี้ถือเป็นปัญหาสำคัญของประเทศ

แม้กระทั่ง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ตอกย้ำโดยตลอดทุกวาระทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน แต่มาถึงวันนี้หลังจากเกิดขบวนการดูด หลังจากมีการตีความและบังคับใช้กฎหมายที่เห็นได้ชัดว่าไม่เป็นธรรมและเท่าเทียม คำถามมันจึงย้อนกลับไปที่ท่านผู้นำว่า คำว่ากฎหมายที่เรียกร้องให้ทุกคนปฏิบัติตามและยอมรับร่วมกันนั้น มันต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใสและไม่เลือกปฏิบัติด้วยหรือไม่

ไม่ว่าข้อกล่าวหาของนครจะดำเนินไปในลักษณะใด ด้านหนึ่งจะเป็นเรื่องทางกฎหมายระหว่างคนที่ปูดข้อมูลกับอดีตพรรคต้นสังกัด ด้านหนึ่งจะเป็นปัญหาระหว่างฝ่ายต่าง ๆ ที่ถูกพาดพิงกับคนที่เปิดเผย แต่สิ่งที่จะละเลยไม่ได้สำหรับคณะเผด็จการที่อ้างว่ายึดหลักกฎหมายเป็นสำคัญคือ ต้องไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายหรือใช้ช่องทางทางกฎหมายในการจะละเว้นให้ใครหรือกลุ่มใดเป็นอันขาด

ภาพของการแบ่งฝ่ายที่ผ่านมานั้นชัดเจนว่าคือ พวกทักษิณกับพวกเกลียดระบอบทักษิณ ถ้านับถึงจำนวนแล้ว อาจบอกได้ว่าพวกแรกมีจำนวนมากกว่าแต่เสียงดังน้อยกว่าหรือจะพูดให้ชัดคือ มีอำนาจและพลังในการที่จะต่อสู้ทางสังคมน้อยกว่า ดังนั้น ใครก็ตามหากคิดอยากจะครองใจคนส่วนใหญ่ จึงต้องกล้าที่จะทำให้คนเห็นว่าเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมและไม่เลือกพวกเขาพวกใคร

น่าสนใจต่อการแบ่งพวกของ “โหรส.ว.” บุญเลิศ ไพรินทร์ ที่ชี้ให้เห็นง่าย ๆ ว่า ประเทศไทยมีแค่ 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายสร้างกับฝ่ายทำลาย ฝ่ายดีกับฝ่ายชั่ว หรือฝ่ายบุญกับฝ่ายบาป ที่ต้องขีดเส้นใต้คือคำอธิบาย ลักษณะฝ่ายบาปจะบังคับหรือข่มขู่ว่าจะทำอันตรายถ้าไม่รักเขา ถ้าไม่ทำตามเขา เรียกว่าใช้วิธีบังคับให้รัก ส่วนฝ่ายบุญจะไม่บังคับหรือข่มขู่ แต่จะสร้างความดีและความเจริญจนคนเห็นความดีแล้วเกิดความรักโดยเต็มใจ โดยไม่ต้องบังคับหรือข่มขู่

คำถามที่ตามมาคือ หากมีคนใช้ทั้งสองวิธีการที่โหรส.ว.ว่ามา จะจัดคนจำพวกนี้ไปไว้ในกลุ่มใด เพราะมีความพยายามที่จะทำหรือสร้างหลาย ๆ สิ่งหลาย ๆ อย่าง หวังว่าจะทำให้คนชอบ คนรัก แต่มันดันไม่เข้าตา เรียกได้ว่าไม่มีผลงาน สุดท้ายจึงต้องใช้วิธีการบังคับขืนใจโดยไม่สนใจไยดีว่าใครจะรักหรือชอบหรือไม่ ด้วยความมั่นใจว่าสิ่งที่ทำมานั้นดีแล้ว

นี่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ที่โหรส.ว.มองข้ามไปคืออะไรก็แล้วแต่หากขึ้นชื่อว่าทำเพื่อคนอื่นและยิ่งมีงบประมาณของประเทศเป็นตัวกำหนด จะมาทึกทักเอาเองหรือคิดเองตามรายงานหรือการเสนอหน้าของลิ่วล้อไม่ได้ว่า ดีแล้ว เหมาะสมแล้ว เพราะผู้นำที่ดีต้องให้ประชาชนเป็นคนชี้ว่า สิ่งที่ทำนั้นดี มีประโยชน์ จนเรียกว่าเกิดการยอมรับ ไม่ใช่ไปบังคับหรือขู่ตะคอกให้ประชาชนรับว่าที่จัดให้สุดยอดแล้วจะเอาอะไรอีก

ด้วยพฤติกรรมเช่นนี้กระมัง แกนหลักในการดูดของกลุ่มสามมิตรอย่าง ภิรมย์ พลวิเศษ จึงกล้าที่จะพูดถึงแบบไม่กลัวใครจะหมั่นไส้ว่า คนอีสานก็รักพลเอกประยุทธ์ไม่แพ้กับที่รักทักษิณเหมือนกัน ก่อนจะตบท้ายด้วยประโยคที่ว่าพรรคเพื่อไทยจะพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งอย่างแน่นอน เรื่องการเอาอกเอาใจคงไม่มีใครถือสาและเป็นธรรมดาของคนที่รับงานเขามาต้องวางเป้าหมายไว้สวยหรู

แต่ถ้าอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงย่อมจะมองสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเข้าใจ โดยเฉพาะเข้าใจความเป็นคนอีสานด้วยกันเอง หากสิ่งที่ภิรมย์เห็นผ่านการไปรอต้อนรับท่านผู้นำเมื่อคราวไปประชุมครม.สัญจรที่บุรีรัมย์และอุบลราชธานี แล้วด่วนสรุปว่านี่คือความรักของคนอีสานที่มีต่อพลเอกประยุทธ์ ผู้ที่สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการสำหรับกลุ่มสามมิตรควรต้องเปลี่ยนตัวเป็นการด่วน

เพราะเท่ากับเป็นการสรุปที่ตื้นเขินจนเกินไป คนที่มาต้อนรับท่านผู้นำโดยเฉพาะที่บุรีรัมย์ซึ่งเป็นไปอย่างมืดฟ้ามัวดินนั้นแท้จริงแล้วมีที่มาอย่างไรคนทั้งประเทศต่างรู้ดี แต่คงบอกไม่ได้เช่นกันว่าไม่มีคนรักพลเอกประยุทธ์เลยหรือ มีแต่มันไม่มากอย่างที่คุยฟุ้งกัน ยิ่งถ้าไปถามควบคู่กับความอยู่ดีกินดีอันเป็นฝีมือของรัฐบาลเผด็จการ คำตอบก็ยิ่งจะชัดเจนมากขึ้น

นี่จึงเป็นเพียงการปั่นกระแส สร้างราคาของนายหน้าผู้มากว้านซื้อตัวอดีตส.ส. การทำทุกวิถีทางเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนายทุนผู้ทุ่มไม่อั้น ถ้าคะแนนนิยมดีขนาดนั้น ป่านนี้น่าจะมีการเลือกตั้งไปแล้ว คงไม่มีใครที่โง่พอโดยการทอดเวลาของการเลือกตั้งออกไปเรื่อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองอยู่ในช่วงได้เปรียบ และหากมีคนรักมากขนาดนั้น คงไม่ต้องไปใช้บริการของกลุ่มสามมิตรให้มาช่วยดูด ฉุดภาพลักษณ์และความนิยมของท่านผู้นำและคณะเผด็จการให้ตกต่ำลงไปอีกอย่างที่เป็นอยู่นี้แน่นอน

Back to top button