พาราสาวะถี

ไทม์ไลน์เลือกตั้งชัดเจนแล้ว ที่เหลือเวลานี้คือการปลดล็อกให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่โหมดหย่อนบัตร ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายเพราะมันต้องเดินไปตามแนวทางนี้อยู่แล้ว วิษณุ เครืองาม ยืนยันหนักแน่นการคลายล็อกจะใช้อำนาจหัวหน้าคสช.ตามมาตรา 44 และไม่ต้องมีใครมาตั้งคำถามหรือสร้างประเด็นให้เป็นปัญหา


อรชุน

ไทม์ไลน์เลือกตั้งชัดเจนแล้ว ที่เหลือเวลานี้คือการปลดล็อกให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรม เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่โหมดหย่อนบัตร ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายเพราะมันต้องเดินไปตามแนวทางนี้อยู่แล้ว วิษณุ เครืองาม ยืนยันหนักแน่นการคลายล็อกจะใช้อำนาจหัวหน้าคสช.ตามมาตรา 44 และไม่ต้องมีใครมาตั้งคำถามหรือสร้างประเด็นให้เป็นปัญหา

สั้น ๆ ง่าย ๆ ประสาเนติบริกร คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 53/2560 เป็นการใช้อำนาจม. 44 ซึ่งถือเป็นข้อกฎหมาย ดังนั้นเพื่อที่จะให้พรรคการเมืองขยับกันได้ ก็ต้องใช้อำนาจที่จะไปแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ที่รวดเร็วทันใจและไม่น่าจะทำให้พรรคการเมืองเสียโอกาสคือการใช้มาตรายาวิเศษ อันเป็นยาสามัญประจำคณะเผด็จการคสช. ทุกอย่างเนียนเรียบเงียบสนิทไร้แรงกระเพื่อม

อย่างไรก็ตาม การคลายล็อกดังว่าจะมีกิจกรรม 6 ด้านเท่านั้นที่พรรคการเมืองทำได้ ประกอบด้วย พรรคการเมืองจัดประชุมใหญ่ เพื่อรับสมัครสมาชิกเพิ่มเติมได้ ให้ความเห็นเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งได้ ดำเนินการเกี่ยวกับไพรมารีโหวตได้ ตั้งกรรมการสรรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งได้ ติดต่อประสานงานกับสมาชิกได้ ส่วนข้อสุดท้ายไม่รู้ว่าปล่อยมุกหรือไม่ที่บอกว่าจำไม่ได้ แต่ไม่ใช่การหาเสียงเลือกตั้ง

คงไม่มีประเด็นอะไรให้ต้องสงสัย ที่จะตามมาคือเงื่อนเวลาที่จะคลายล็อกคือเมื่อใด ถ้าย้อนไปฟังบทสัมภาษณ์ของรองนายกฯ ฝ่ายกฎหมายก่อนหน้าบอกว่า จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนเดือนกันยายนนี้ ก็หมายความว่าภายในสัปดาห์หน้าทุกอย่างคงชัดเจน รวมไปถึงปมการแก้ปัญหาว่าด้วยการทำไพรมารีโหวตของพรรคการเมืองด้วย

แม้จะไม่ได้บอกว่าใช้วิธีไหน แต่คงไม่หนีจากที่เคยแพลมกันไว้ก่อนหน้า ยิ่งฟังคำอธิบายล่าสุดของวิษณุที่ว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดเพราะกำหนดเพียงให้รับฟังความเห็นของสมาชิกพรรคในการเลือกผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง นั่นเท่ากับว่ามีทางลื่นไหลออกได้หลายทาง โดยจะไม่ทำให้ไปสร้างปัญหาชีวิตให้กับพรรคการเมืองเกิดใหม่ โดยเฉพาะพรรคของคสช.

ต้องไม่ลืมว่า สุดท้ายฝ่ายที่จะเคาะว่าเลือกแบบไหนก็คือคสช.นั่นเอง และไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงว่าสามารถอธิบายให้พรรคการเมืองได้หรือไม่ มาถึงนาทีนี้แล้วเชื่อว่าทุกพรรคไม่ได้มองเนื้อหาสาระของสิ่งที่ผู้มีอำนาจจะเคาะมา ขอเพียงแค่อย่าเป็นอุปสรรคในการเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งเท่านั้นรับได้หมด เช่นเดียวกับวิธีการของการออกกฎว่าด้วยไพรมารีโหวต

ไม่มีใครสนใจว่าจะใช้ม. 44 หรือไม่ จะว่าไปแล้วมันก็ไม่มีวิธีการอื่น ในอีกมุมท่านผู้นำก็เปิดทางไว้แล้วว่า พร้อมที่จะเซ็นอนุมัติทันทีที่มีการเสนอมา จึงไม่ต้องไปลุ้นกันให้เมื่อยว่าบทสรุปเรื่องนี้จะออกมาอย่างไร รอเพียงแค่ว่าจะดำเนินการกันเมื่อไหร่ แต่น่าจะเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่ต้องเปิดเผยรายละเอียดอะไรมาก

เหมือนอย่างที่วิษณุว่าถ้ามัวแต่เงื้อง่าราคาแพง จะก่อให้เกิดการคาดการณ์ เกิดความสับสนอลหม่าน มีการขยายผล มีการวิจารณ์ ด่าไปก่อน ทำให้ทุกอย่างไขว้เขวไปหมด นอกจากนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องรับฟังความเห็นของฝ่ายใด เพราะนี่ไม่ใช่การออกกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการใช้อำนาจของรัฎฐาธิปัตย์ที่ทุกอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในตัว

ประเภทคำถามที่ว่าผู้มีอำนาจกลัวอะไรถึงรีรอที่จะคลายล็อก ปลดล็อกหรือปล่อยให้พรรคการเมืองได้ดำเนินกิจกรรมในสิ่งที่ควรจะเป็นนั้น เห็นการขยับกันอย่างนี้แล้วก็น่าจะเลิกตั้งปุจฉากันได้ อย่างไรก็ตาม อาจจะมีนักการเมืองบางพวกหรือพรรคการเมืองบางพรรค ที่ยังไม่มั่นใจว่าฝ่ายกุมอำนาจจะทำตามสัญญาหรือไม่ จึงต้องออกมาดักคอตลอดเวลา นั่นก็แค่ลีลาของคนที่รีรอการเลือกตั้งมานานกว่า 4 ปีแล้วแค่นั้นเอง

จะเห็นได้จากท่าทีของฝ่ายความมั่นคงในแง่ของการผ่อนปรนเรื่องการแสดงความเห็นต่าง วันก่อนมีป้ายผ้าต่อต้านเผด็จการคสช.โผล่ย่านมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เป็นการรับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่จะเดินทางไปร่วมงานที่โรงแรมรามาการ์เด้น โฆษกกระทรวงกลาโหมแถลงข่าวทันทีทันใด ตอนนี้เข้าสู่โหมดการเมืองแล้ว คสช.และรัฐบาลต้องเปิดใจรับความเห็นจากทุกฝ่าย

การแสดงท่าทีเปิดกว้างไม่ขึงขัง ดุดันเหมือนเก่า อาจจะเป็นการส่งสัญญาณถึงการเตรียมความพร้อมเข้าสู่สนามเลือกตั้งของฝ่ายกุมอำนาจ หรืออีกนัยหนึ่งถ้ากระโดดมาเล่นงาน ตั้งหน้าตั้งตาจะเอาผิดคนที่ทำป้ายผ้า ก็จะเกิดคำถามย้อนกลับมาถึงมาตรฐานการเอาผิดของฝ่ายกุมอำนาจต่อความเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตร นอมินีหาอดีตส.ส.เข้าพรรคของคสช.ก็จะยิ่งไปกันใหญ่

ที่เห็นเงียบ ๆ ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มดังกล่าวหยุด ภิรมย์ พลวิเศษ เลขาฯ กลุ่มออกมายอมรับวันวาน กลุ่มยังเดินสายเป็นปกติ และไม่มีการแอบอ้างชื่อนายทหารรายใดไปเคลื่อนไหว ก็เป็นท่วงทำนองของเด็กเส้นที่จะพูดอะไรก็ได้ เพราะรู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ไม่ผิด ยิ่งได้ยินแม่ทัพภาคที่ 2 พลโทธรากร ธรรมวินทร ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ยิ่งเห็นภาพชัด

ทุกย่างก้าวของสามมิตรในภาคอีสาน ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่มองว่าเป็นเพียงแค่การพบปะกันประสานักการเมืองปกติ หลายกิจกรรมเป็นการไปรับฟังปัญหาและช่วยเหลือประชาชน ตรงนี้คงไม่มีใครติดใจ แต่ไม่แน่ใจว่า จะมีการท้าทายหรือลองของในอนาคตหรือเปล่า หากคนอื่น กลุ่มอื่นและพรรคอื่นดำเนินการเหมือนอย่างที่สามมิตรทำ หวังว่าแม่ทัพภาคที่ 2 คงไม่มีหลายมาตรฐาน

ประเด็นสามมิตรดูจะเป็นเรื่องรองไปทันที ถ้าได้ฟังคำตอบของแม่ทัพภาคที่ 2 ที่พูดถึงเรื่องมีนายทหารใต้บังคับบัญชาไปพูดคุยกับนักการเมืองให้สนับสนุนรัฐบาลและคสช.อยู่ต่อในการเลือกตั้งครั้งหน้า ท่านพูดหน้าตาเฉยเป็นการไปในนามส่วนตัว ประสาคนคุ้นเคย แต่ไม่ยักกะบอกว่า คนที่ถูกชักชวนนั้นเขาคิดแบบนั้นด้วยหรือเปล่า มองแบบเผิน ๆ เรื่องนี้ไม่มีอะไร แต่หากมองไปยังหัวโขนที่ลูกน้องท่านสวม นี่เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปเอื้อประโยชน์ให้การสืบทอดอำนาจหรือไม่ คำตอบรู้อยู่แก่ใจกันดี

Back to top button