พาราสาวะถี

แม้จะยังไม่เห็นเป็นลายลักษณ์อักษรเรื่องคำสั่งคลายล็อกพรรคการเมือง พ่วงด้วยการแก้ปัญหาทำไพรมารีโหวตของพรรคการเมือง แต่ประเมินจากบทสัมภาษณ์ล่าสุดของ วิษณุ เครืองาม และ มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นการสอดประสานข้อมูลของสองเนติบริกรว่า ใช้มาตรา 44 แน่และแก้ให้ “ยกเว้นไพรมารีโหวต” ในการเลือกตั้งครั้งแรกแน่นอนเช่นเดียวกัน


อรชุน

แม้จะยังไม่เห็นเป็นลายลักษณ์อักษรเรื่องคำสั่งคลายล็อกพรรคการเมือง พ่วงด้วยการแก้ปัญหาทำไพรมารีโหวตของพรรคการเมือง แต่ประเมินจากบทสัมภาษณ์ล่าสุดของ วิษณุ เครืองาม และ มีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นการสอดประสานข้อมูลของสองเนติบริกรว่า ใช้มาตรา 44 แน่และแก้ให้ “ยกเว้นไพรมารีโหวต” ในการเลือกตั้งครั้งแรกแน่นอนเช่นเดียวกัน

อย่างที่บอกไปวันวาน เมื่อมีสองศรีเนติบริกรนั่งอยู่ทั้งในรัฐบาลและคสช. ที่สำคัญคือคนหนึ่งเป็นผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน ย่อมมั่นใจเกินล้านเปอร์เซ็นต์ว่า สิ่งที่ตัดสินใจคลอดออกมาเป็นคำสั่งในนามหัวหน้า คสช.ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้นจะต้องปฏิบัติได้และไม่ขัดต่อกฎหมายสูงสุดของประเทศ

ดังนั้น จึงไม่แปลกที่วิษณุจะบอกว่าการแก้ไขปมไพรมารีโหวต ยึดเอาตามความเห็นของ กรธ.ที่เสนอต่อ สนช. โดยให้มีกรรมการสรรหาในพรรคประกอบด้วยบุคคล 11 คน แบ่งเป็นกรรมการบริหารพรรค 4 คน สมาชิกพรรคการเมือง 7 คน เพื่อทำหน้าที่หารือกับสมาชิกในแต่ละเขตและจังหวัด จากนั้นรวบรวมรายชื่อเพื่อสรรหาพร้อมจัดทำบัญชีผู้สมัคร ส.ส. แล้วเสนอให้คณะกรรมการบริหารพรรคพิจารณาอีกครั้ง

หากคณะกรรมการบริหารพรรคยังไม่เห็นด้วยกับรายชื่อดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 จะต้องมีการประชุมร่วมกันระหว่างกรรมการบริหารพรรคและกรรมการสรรหา 11 คน เพื่อลงคะแนนลับจนได้บัญชีรายชื่อครบถ้วน โดยที่มีชัยก็เป็นฝ่ายการันตีว่า การใช้ ม.44 แก้ปัญหาดังกล่าวไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ และวิธีการแก้ไขก็ไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

เมื่อฟังไปยังเสียงของบรรดาพรรคการเมืองทั้งหลายก็ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้ นั่นเท่ากับว่า ทุกพรรคใจจดจ่อมองไปยังปลายทางที่ให้ประชาชนได้หย่อนบัตรเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว จะมีก็แต่ข้อทักท้วงเรื่องการคลายล็อกที่ควรจะเป็นการปลดล็อกเสียมากกว่า เหตุผลก็แทบไม่ต่างกันคือให้พรรคได้เตรียมพร้อมทุกด้านโดยเฉพาะนโยบาย ส่วนเรื่องสร้างความวุ่นวายผู้กุมอำนาจไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะประกาศเองว่าตลอดกว่า 4 ปีที่ผ่านมาดูแลความเรียบร้อยของประเทศได้อยู่หมัด

อย่างไรก็ตาม ปมไพรมารีโหวตแบบย่อตามคำเรียกขานในที่ประชุม คสช.นั้น จะมีเวลาให้ดำเนินการ 30 วันสุดท้ายของการคลายล็อก ซึ่งก็คือช่วงเวลา 90 วันที่รอร่างกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มีผลบังคับใช้นั่นเอง โดยเวลา 60 วันก่อนหน้านั้น จะเป็นเรื่องของ กกต.ในการแบ่งเขตเลือกตั้ง ที่ถ้าคำสั่งเป็นไปตามคุณแหล่งข่าวว่า บัญชีประชากรที่จะใช้ในการแบ่งเขตเลือกตั้งให้ยึดเอาตามที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จัดทำไว้เมื่อเดือนมกราคมปีนี้

เงื่อนเวลา 30 วันเพียงพอหรือไม่ มือกฎหมายประจำรัฐบาลย้ำว่าเหลือเฟือ คงต้องฟังทางพรรคการเมืองว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่ สำหรับพรรคใหญ่ พรรคขนาดกลางหรือพรรคเก่าคงไร้ปัญหา บรรดาพรรคเล็ก พรรคเกิดใหม่ต่างหากที่ต้องคำนวณว่า ระยะเวลาดังกล่าวกับกระบวนการบริหารจัดการทุกเรื่องตามกรอบการคลายล็อกจะทำกันทันหรือไม่

แต่คงไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะเอาเข้าจริงการแก้ปัญหาชีวิตแบบนี้ ก็เพื่อให้พรรคนอมินีของผู้มีอำนาจได้จัดการเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างไร้ปัญหานั่นแหละ มีเวลาเตรียมการทั้งใต้ดินบนดินมานานกว่าใครเพื่อน เรื่องเงื่อนเวลาจึงไม่ใช่อุปสรรค วันนี้ มองไกลกันไปถึงขั้นที่พร้อมจะเปิดนโยบายขายฝันกันแล้ว ไม่ใช่ว่าซุ่มทำกัน ก็สิ่งที่ผ่านหูผ่านตากันมาตลอดของการบริหารประเทศภายใต้คณะเผด็จการ คสช.นี่แหละคือจุดขาย

เผื่อฟลุกจังหวะที่รอเลือกตั้งเศรษฐกิจดันกระเตื้องขึ้นมาบ้าง ก็หยิบจับเอาสิ่งที่มีอยู่แล้ว ผนวกเข้ากับประชานิยมจำแลง ก็นำไปเรียกคะแนนจากผู้สนับสนุนได้แล้ว ไม่เพียงเท่านั้น หากกระแสนิยมในตัวของผู้นำเผด็จการยังเสียงดีไม่มีตกเหมือนที่เจ้าตัวว่า ยิ่งจะกลายเป็นสองแรงบวก ทำให้มีโอกาสกำชัยชนะถล่มทลายกันเลยทีเดียว

ไม่ได้สะทกสะท้าน มิหนำซ้ำ ยังประกาศกร้าวผ่านบรรดาสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่แห่แหนบินไปพบยังประเทศจีน สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร พรรคการเมืองที่มีฐานเสียงหลักอยู่ในภาคเหนือและอีสานจะได้ที่นั่งสูงถึง 260 เสียง พร้อมส่งเสียงเชียร์พรรคอนาคตใหม่ว่าจะได้เก้าอี้ 40 ที่นั่ง โดยจะเป็นพื้นที่ กทม.เป็นหลักและบางพื้นที่ซึ่งเคยเป็นของประชาธิปัตย์มาก่อน ด้วยการวิเคราะห์เช่นนี้พรรคของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จึงถูกยัดเยียดให้เป็นเครือข่ายของทักษิณในทันทีทันใด

เล่นชกตรงกล่องดวงใจกันแบบไม่กระมิดกระเมี้ยน มีหรือที่คนของพรรคเก่าแก่จะยอมให้ถูกตีกินฟรี ๆ จึงพากันออกมาตอบโต้เป็นแถว ทว่าความต่างเรื่องจุดยืนมันเห็นกันเด่นชัด เพราะขณะที่ลูกพรรคของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังมะงุมมะงาหราเรื่องเผาบ้านเผาเมือง เรื่องข้อกล่าวหาแบบเดิม ๆ แต่นายใหญ่ไปไกลกว่าถึงขั้นคิดสโลแกน ไม่ทำในสิ่งที่ประยุทธ์และสมคิดทำ เท่านี้ก็แยกแยะได้แล้วว่าใครกันที่จมปลักอยู่กับความขัดแย้งและไม่ก้าวข้ามคนบางคน

ด้วยท่วงทำนองแบบนี้ กระโจนเข้าสู่เวทีเมื่อไหร่ประชาชนย่อมร้อง “ยี้” กันเป็นแถว การเมืองยุคปฏิรูปประเภทบ้าน้ำลาย ขายความเก๋าโชว์การปราศรัย ไฮปาร์คเหมือนในอดีตนั้น อาจใช้ได้แค่บางพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่คนยุคไทยแลนด์ 4.0 ไม่ได้ให้น้ำหนักกันอีกต่อไปแล้ว มิเช่นนั้น คงไม่มีการให้ความสำคัญเรื่องการหาเสียงผ่านโซเซียลมีเดียแน่นอน

การช่วงชิงความได้เปรียบกันในทางการเมือง ณ พ.ศ.นี้อยู่ที่ว่า ใครจะเข้าถึงตัวผู้รับสารผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้เร็วและมากกว่ากัน เท่านั้นยังไม่พอจะมีอะไรไปขาย (ฝัน) ให้ประชาชนได้เลือกประกอบการตัดสินใจกันบ้าง ถ้ามองถึงความเชี่ยวชาญและยุทธศาสตร์ด้านการตลาดต้องยอมรับกันว่า ถ้าอภิสิทธิ์ไม่บอกให้ลูกพรรคปรับตัว อย่าว่าแต่จะแพ้พรรคทักษิณขาดลอยเลย แม้แต่พรรคของ คสช.ก็จะชนะพรรคเก่าแก่แบบท่วมท้นไปด้วย

Back to top button