พาราสาวะถี

ถามว่าปกติไหมกับข่าว ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ลูกเขย ทักษิณ ชินวัตร จะมานั่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตอบได้ว่าไม่ปกติอย่างแน่นอน ต้องไปย้อนดูว่าต้นตอของข่าวหลุดข่าวปล่อยดังกล่าวมาจากที่ใด อย่างไรก็ตาม ข่าวที่ปรากฏหากมองในแง่เป็นสารที่สื่อมาจากฝ่ายทักษิณ ก็เป็นเพียงแค่เกมการตลาดที่หยั่งกระแส วัดคะแนนนิยมเล่น ๆ ไม่คิดจริงจัง


อรชุน

ถามว่าปกติไหมกับข่าว ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ลูกเขย ทักษิณ ชินวัตร จะมานั่งเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ตอบได้ว่าไม่ปกติอย่างแน่นอน ต้องไปย้อนดูว่าต้นตอของข่าวหลุดข่าวปล่อยดังกล่าวมาจากที่ใด อย่างไรก็ตาม ข่าวที่ปรากฏหากมองในแง่เป็นสารที่สื่อมาจากฝ่ายทักษิณ ก็เป็นเพียงแค่เกมการตลาดที่หยั่งกระแส วัดคะแนนนิยมเล่น ๆ ไม่คิดจริงจัง

ต้องไม่ลืมกันว่าตัวเองอันหมายถึงทักษิณพ้นเก้าอี้มานานกว่า 10 ปีป่านนี้คดียังติดตัวเป็นพรวน เช่นเดียวกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อันเป็นน้องสาวสุดที่รัก นั่งบริหารธุรกิจของตระกูลอยู่ดี ๆ แม้จะสร้างสถิติใหม่ด้วยการใช้เวลา 49 วันก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและคนเดียวของประเทศไทย แต่เป็นการได้ไม่คุ้มเสีย เมื่อเทียบกับคดีความที่ติดตัวและการต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ

ดังนั้น ตรรกะง่าย ๆ สำหรับโจทย์ที่ว่าหัวหน้าพรรคเพื่อไทยต้องเป็นเขยทักษิณเท่านั้น จึงไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ จะมีใครกล้าและบ้าพอที่จะส่งทายาทของตัวเองและเป็นที่รักของลูกสาวให้ต้องไปเผชิญกับชะตากรรมทางการเมือง ที่พอจะคาดเดากันได้เมื่อเครือข่ายของทักษิณได้ก้าวขึ้นบริหารประเทศทุกครั้ง นับตั้งแต่หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา จุดจบจะเป็นอย่างไร

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคนายใหญ่ ในฐานะคนใกล้ชิดทักษิณจะบอกว่าเห็นรายชื่อนี้ผ่านสื่อก็เท่านั้น เวลานี้พรรคยังจัดประชุมไม่ได้ มีแต่สมาชิกเสนอรายชื่อผู้ที่คาดว่าจะมาเป็นหัวหน้ากันยกใหญ่ ต้องรอให้มีการคลายล็อกก่อนแล้วพรรคจะดำเนินการทันที ความจริงเรื่องนี้มีแคนดิเดตแค่ไม่กี่รายเท่านั้น ที่สำคัญมากไปกว่านั้นนอกจากนายใหญ่ไฟเขียวแล้ว ยังต้องให้นายหญิงเซเยสด้วย

ด้วยเหตุนี้จึงมีเสียงปฏิเสธอย่างแข็งขันมาจากลูกเขยทักษิณไม่มีทางกระโจนเข้าสู่สนามการเมืองเป็นอันขาด จึงเป็นอันจบข่าว ส่วนพวกที่จ้องจะถล่มพรรคของนายใหญ่ว่าเป็นพรรคครอบครัวหรือหนีไม่พ้นวังวนใช้เครือญาติตระกูลชินวัตรมาครอบงำพรรค เป็นอันต้องเงื้อหมัดเก้อ คงต้องไปลุ้นกันหลังคลายล็อกชื่อสารพัดที่โยนหินถามทางกันมาใครจะโดน (เลือก)

ขณะที่ผู้ซึ่งแม้จะสงวนท่าทีอย่างไร แต่คนกลับไม่เชื่อว่าจะหันหลังให้การเมืองโดยเฉพาะการเมืองเพื่อการสืบทอดอำนาจของตัวเอง นั่นก็คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถอดรหัสคำพูดหลังประชุมครม.วันวาน เป็นอันแน่ชัดว่า เล่นการเมืองต่อล้านเปอร์เซ็นต์ ส่วนการอ้างยังไม่ได้สังกัดพรรคไหนเป็นเพียงแค่ลีลาที่เด็กอมมือก็ดูออก

คำพูดที่ยืนยันได้ว่าบิ๊กตู่ไปต่อแน่ ๆ คือ การบอกว่าจะใช้สถานการณ์ช่วงปลดล็อกเพื่อเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งและไปสู่การมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ประเมินว่าตัวเองจะตัดสินใจอย่างไร โดยจะมีผลว่า “จะอยู่ตามรัฐธรรมนูญได้หรือไม่” เพื่อทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติและบ้านเมืองไปสู่การปฏิรูปและเป็นไปตามยุทธศาสตร์ชาติ

ประกาศกันโต้ง ๆ ขนาดนี้แล้วจะเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร ขณะที่ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ยังชูจักกะแร้หนุนให้น้องเล็กอยู่ในเก้าอี้ผู้นำประเทศต่อไป โดยอ้างเรื่องของยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศเช่นกัน มาถึงนาทีนี้ต่อให้เนียนกันอย่างไรคงจะไม่สามารถกระมิดกระเมี้ยนกันได้อีก ลีลามากไป เดี๋ยวกองเชียร์จะเบื่อเสียก่อน

เป็นอันว่าเดือนกันยายนนี้เราจะได้รู้อย่างเป็นทางการเสียทีว่า การจะเดินหน้าต่อของบิ๊กตู่นั้นจะใช้เหตุผลใดมาอธิบายเพื่อให้คนส่วนใหญ่ยอมรับ แต่ฟังอีกหนึ่งประโยคจากถ้อยแถลงของท่านผู้นำที่ว่ามีทั้งกองแช่งและกองเชียร์ โดยกองเชียร์ก็ได้มาช่วยสร้างเครือข่ายปกป้อง ซึ่งรัฐบาลไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรที่เป็นการอยู่เบื้องหลังและไม่ต้องใช้งบประมาณไปอุดหนุน

แหม! นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่จะสร้างความชอบธรรมในการไปต่อของตัวเอง อย่างที่บอกมาตลอดประเด็นว่าด้วยม็อบเคลื่อนไหวต่อต้าน ด้วยอำนาจและกฎหมายที่มี ฝ่ายกุมอำนาจมั่นใจสุด ๆ จะไม่ซ้ำร้อยเผด็จการในอดีตที่ถูกขบวนการนักศึกษา ประชาชนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านการสืบทอดอำนาจ และยิ่งมองไปยังบริบทของผู้คนในปัจจุบัน การสร้างกระแสรวมพลังเหมือนในอดีตก็น่าจะเกิดขึ้นยากด้วยเช่นกัน

ครั้งนี้อาจจะเป็นการสืบทอดอำนาจเผด็จการที่สะดวกโยธินเป็นที่สุด เว้นเสียแต่จะมีเหตุอย่างอื่นมาทำให้สะดุดตรงนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา แต่การเมืองน้ำเน่าอันจะเป็นเหตุให้ผู้มีอำนาจใช้เป็นข้ออ้างทั้งการเลื่อนเลือกตั้งหรือความจำเป็นต้องอยู่ต่อก็คือ พฤติกรรมอันน่าสะอิดสะเอียนเกี่ยวกับการซื้อเสียงหรืองัดวิธีการที่จะชักชวนประชาชนให้มาสนับสนุนนักการเมืองรายนั้นหรือพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งนั่นเอง

เหตุการณ์รวบรวมบัตรประชาชนที่โคราช โดยถูกกล่าวหาว่าเพื่อจะนำไปใช้เป็นเอกสารประกอบการสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง โดยฝ่ายการเมืองฝั่งตรงข้ามมองว่าเป็นการ “ซื้อเสียงล่วงหน้า” จึงเกิดการร้องทั้งที่กกต.จังหวัดโดย “แรมโบ้อีสาน” สุภรณ์ อัตถาวงศ์ และกกต.กลางโดยพรรคเพื่อไทย มี ประเสริฐ จันทรรวงทอง อดีตรัฐมนตรีช่วยคมนาคมและแกนนำพรรคนายใหญ่คนสำคัญในพื้นที่นำขบวน

อย่างไรก็ตาม นักการเมืองและพรรคการเมืองที่ถูกกล่าวหาก็ออกมาปฏิเสธทันที โดย สรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ย้ำว่าใครที่ทำให้เสียหายก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ขณะที่ พรชัย อำนวยทรัพย์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา เขต 2 คนที่ดำเนินการดังกล่าวก็บอกปัดว่าไม่ได้มีพฤติกรรมตามข้อกล่าวหาแต่อย่างใด

การรวบรวมบัตรประชาชนของอสม.ในพื้นที่ก็เพื่อที่จะให้ช่วยสนับสนุนตัวเองเป็นว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย เรื่องนี้คงต้องให้ทางกกต.เป็นผู้ชี้ขาด เบื้องต้น พันตำรวจเอกจรุงวิทย์ ภุมมา เลขากกต.บอกโทษหนักถึงขั้นตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต แต่ปัญหาคือกิจกรรมทางการเมืองที่ติดล็อกคสช.อยู่จะเป็นเหตุให้เอาผิดได้ยากหรือไม่ตรงนี้น่าสนใจ ไม่ว่าจะอย่างสิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นการส่งสัญญาณเตือนนักการเมืองทั้งหลายให้ระวังหากยังเล่นกันแบบนี้จะไม่มีเลือกตั้งตามสัญญา อีกด้านก็จะถือเป็นการพิสูจน์กกต.ในฐานะต้องกำกับดูแลการเลือกตั้งด้วยว่าดาบอาญาสิทธิ์ที่ถืออยู่จะมีน้ำยาอะไรหรือไม่

Back to top button