พาราสาวะถี

พูดเต็มปากเต็มคำ นักการเมืองบอกปลดล็อกไปเลยไม่ต้องกลัว แต่ “คสช.กลัวการปลดล็อก” เป็นวลีทองที่หลุดมาจาก วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ถ้านำเอาคำว่ากลัวไปเทียบกับประโยคเด็ดของอดีตนายกฯ ผู้ล่วงลับ “ความกลัวทำให้เสื่อม” หรือว่าเวลานี้ผู้ถือครองอำนาจกำลังมองเห็นหนทางเช่นนั้น จึงเกิดอาการหวาดผวา ทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และอาวุธทั้งทางกฎหมายครบมือ แม้กระทั่งกระสุนจริงก็ครบครัน


อรชุน

พูดเต็มปากเต็มคำ นักการเมืองบอกปลดล็อกไปเลยไม่ต้องกลัว แต่ “คสช.กลัวการปลดล็อก” เป็นวลีทองที่หลุดมาจาก วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย ถ้านำเอาคำว่ากลัวไปเทียบกับประโยคเด็ดของอดีตนายกฯ ผู้ล่วงลับ “ความกลัวทำให้เสื่อม” หรือว่าเวลานี้ผู้ถือครองอำนาจกำลังมองเห็นหนทางเช่นนั้น จึงเกิดอาการหวาดผวา ทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และอาวุธทั้งทางกฎหมายครบมือ แม้กระทั่งกระสุนจริงก็ครบครัน

พอจะเข้าใจกันได้ เมื่อที่มามันไม่ได้เป็นประชาธิปไตย ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในตำแหน่งล้วนแต่เกิดจากการใช้วิธีพิเศษและการกดทับทุกอย่างไว้ด้วยอำนาจเผด็จการ เมื่อถึงเวลาที่จะต้องคืนเสรีภาพกลับไปให้ประชาชน โดยเฉพาะคนที่ชื่อว่านักการเมืองจึงต้องคิดกันหลายชั้นกรองกันหลายตลบ ถึงได้จบตรงที่มีทั้งคลายล็อกและปลดล็อก

จะว่าไปแล้ว สิ่งที่นักการเมืองและพรรคการเมืองทั้งหลายกำลังเรียกร้องกันอยู่เวลานี้ ทางที่ดีควรอยู่กันเฉย ๆ แล้วปล่อยให้ผู้มีอำนาจดำเนินการตามแนวทางให้เต็มที่ เพราะการที่ยิ่งออกมาแสดงความเห็นหรือเรียกร้องใด ๆ มันจะกลายเป็นการเดินไปเข้าทางตีนหรือหลุมพรางที่เขาขุดล่อเอาไว้ เพื่อทำให้นักเลือกตั้งเดินไปติดกับ

ยิ่งนักการเมืองออกมาสาดโคลนกันมากเท่าไหร่ นั่นยิ่งเท่ากับเป็นการเปิดจุดอ่อนทำให้คนที่เกลียดนักการเมือง (แต่อยากได้อดีตส.ส.ไปเข้าพรรคของตัวเอง) ใช้เป็นข้ออ้าง ขยายผลทำให้คนทั่วไปเห็นว่า นี่ไงคือเหตุผลที่ยังไม่เปิดทางให้ทำอะไรกันได้เต็มที่ เวลานี้สิ่งที่เห็นกำลังเป็นเช่นนั้น การ “ตีกันเอง” ของพวกต้นทุนต่ำ เท่ากับเป็นการต่ออายุและสร้างจุดแข็งให้กับเผด็จการต่อการหาเหตุลากยาวเข้าไปอีก

ทั้งที่ความจริงแล้ว หากมองกันตามวิถีของกระบวนการในการออกแบบเพื่อคืนประชาธิปไตยให้กับประเทศนั้นมันไม่ควรจะยาวนานมาจนถึงขนาดนี้ เพราะความจริงนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ อำนาจอันเป็นเผด็จการควรที่จะล่าถอยหรือปลดระวางลงไปบ้าง แต่แค่การคงมาตรา 44 ไว้ในบทเฉพาะกาลของกฎหมายสูงสุด ก็ทำให้เห็นแล้วว่าอำนาจเผด็จการนั้นยิ่งใหญ่และคิดจะทำอะไรก็ได้ โดยไร้พลังต่อต้าน อันเนื่องมาจากนักการเมืองที่ควรจะเป็นพลังนำของสังคมประชาธิปไตยมันไร้ต้นทุนความเชื่อถือ

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่านักการเมืองจะตกเป็นเบี้ยล่างให้เหยียบย่ำได้ตลอดเวลา ถ้าอ่านจากอาการกลัวผ่านน้ำคำของวิษณุ แล้วย้อนกลับไปดูคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อคราวไปพบปะประชาชนที่ลพบุรี เรื่องของสัญญาว่าจะไม่ให้รัฐบาลใหม่มาจองล้างจองผลาญกับรัฐบาลเก่า เป็นภาพสะท้อนของความกลัวต่อสิ่งที่ตัวเองได้กระทำ ณ ปัจจุบันอยู่ไม่น้อย

จนทำให้บรรดากองเชียร์ก็ออกอาการใจเสียอยู่เหมือนกัน มีอะไรทำให้ท่านผู้นำหวั่นไหวได้ขนาดนั้น ในเมื่อยืนยันมาโดยตลอดทุกอย่างดำเนินการตามกฎหมาย และถือความสุจริต ไม่คดโกงเป็นที่ตั้ง แล้วใยจะต้องมากลัวการตามล้างตามเช็ด ถือเป็นอาการที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกับคนที่มีการนิรโทษกรรมให้กับตัวเองและคณะทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ทำไมต้องกลัวการเอาคืน

หากอ่านเฉพาะท่าทีและท่วงทำนองที่เห็น ประสาคนคิดมากก็อาจจะคิดไปไกลถึงขั้นที่ว่าหรือการประกาศจุดยืนทางการเมืองของบิ๊กตู่จะไม่ใช่การไปต่อ ถ้าเช่นนั้นจะส่งมอบแตะมือทุกสิ่งที่ได้วางหมากกลเอาไว้ให้กับใคร เล็งไปที่พี่ใหญ่พิจารณาจากสังขารแล้วคงไม่รับไม้ต่อ เพราะลำพังแค่ปมนาฬิกาหรูก็ดูสะบักสะบอมเต็มที

ถ้าเป็นรัฐบาลปกติป่านนี้โบกมือบ๊ายบายไปเลี้ยงหลานอยู่ที่บ้านไปแล้ว ความอึดอัดอันเกิดขึ้นในช่วงปลายของอำนาจเผด็จการ ก่อนที่จะต้องจัดการเลือกตั้งทั้งตามสัญญาประชาคมโลกที่ตัวเองได้ลั่นวาจาเอาไว้ และด้วยปัจจัยกดดันอื่น ๆ มันจึงทำให้สถานการณ์ทางการเมืองที่วางกลยุทธ์ไว้รอแค่การเปลี่ยนเกม ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย ไม่รู้ว่าการเลื่อนประชุมของพรรคพลังประชารัฐจากกำหนดการเดิม เป็นผลมาจากอาการสะดุดนี้ด้วยหรือไม่

ส่วนใครที่ต่างลุ้นกันว่า บั้นปลายของรัฐบาลเผด็จการน่าจะเผชิญกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองที่เป็นฝ่ายตรงข้ามหรือแม้กระทั่งพวกเดียวกันที่ไม่ได้รับการดูแล ตรงนี้เลิกคิดกันไปได้ จะมีก็แต่กลุ่มปัญหาความเดือดร้อนที่ก็ไม่ได้มีกำลังวังชามากมายในการจะสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลคสช. ตรงนี้ยังถือเป็นความโชคดี

เหตุที่ไม่มีความเคลื่อนไหว ฝ่ายที่อยากจะดำเนินการต่างก็เข้าใจ ไม่ต่างจากผู้มีอำนาจ ลองจับสัญญาณจากสิ่งที่ จตุพร พรหมพันธุ์ ไปพูดบนเวทีเสวนาที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ขอให้ทุกกลุ่มทุกพรรคหันหน้ามาคุยกันแล้วหาข้อเสนอที่ตกผลึกร่วมกันเข้าไปคุยกับผู้มีอำนาจเพื่อทำให้บ้านเมืองสงบ

ทั้ง ๆ ที่ท่าทีของประธานนปช.และแนวร่วมทั้งหลายหลังการรัฐประหารหมาด ๆ หรือแม้ก่อนการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นไปอย่างที่เห็น ณ ปัจจุบัน นั่นหมายความว่าย่อมมีปัจจัยอันพิเศษที่ทำให้ฝ่ายที่ไม่เอาเผด็จการยอมอ่อนข้อเพื่อหาทางออกให้บ้านเมือง เป็นการแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ซึ่งเชื่อได้ว่าแม้กระทั่ง สุเทพ เทือกสุบรรณ ในนามตัวแทนของกปปส.ที่วันนี้ก็ไร้พลังเต็มที ก็คงคิดและอยากจะทำไม่ต่างไปจากสิ่งที่จตุพรเสนอ

นอกจากนั้น ภาพที่ปรากฏล่าสุดผ่านอินสตาแกรมของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร โพสต์รูปขณะกำลังดูดน้ำกับ “เอม” พินทองทา คุณากรวงศ์ พี่สาว ด้วยหลอดสีเหลืองและสีแดง โดยมี ทักษิณ ชินวัตร ยืนอยู่ด้านหลังเป็นผู้ถือแก้วให้ พร้อมระบุว่า 2 สาวเมื่ออยู่กับพ่อก็กลับไปเป็นเด็กได้ทุกเมื่อ พ่อบอกหลอดแดงเหลืองกลมเกลียวกันสวยงาม ทางเราก็ไม่ติด เลยทำตัวกลมกลืนไปด้วยตามกระแส ก่อนที่พานทองแท้จะแสดงความเห็นต่อว่า “ลึกจัง” นี่ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่มีนัยบางอย่างอยู่เหมือนกัน

Back to top button