AOT กับ CPALL
ช่วงนี้หุ้นขนาดใหญ่ถูกเทขายออกมาตลอด
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
ช่วงนี้หุ้นขนาดใหญ่ถูกเทขายออกมาตลอด
ว่ากันว่าเป็นการขายจากนักลงทุนต่างชาติ และมีนักลงทุนสถาบันเข้ามาผสมโรงด้วย
ส่วนรายย่อย มีหลายคนที่กระโจนเข้ากองไฟ เพราะอาจมองว่า ราคาหุ้นปรับลงมาค่อนข้างมาก หรือไม่ก็นักวิเคราะห์แนะนำให้ทยอยสะสม
ผลลัพธ์จึงออกมาอย่างที่เผชิญกันอยู่
AOT หรือ บมจ.ท่าอากาศยานไทย
หุ้นตัวนี้ราคาเคยขึ้นไปถึง 70-71 บาท และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) แตะ 1 ล้านล้านบาท
ผ่านมากว่า 4 เดือน ราคาปรับลงมาเหลือ 65 บาท หรือ 8.75%
ส่วนมาร์เก็ตแคปก็ลงมาเหลือ 8.85 แสนล้านบาท
AOT เพิ่งจะถูกนักวิเคราะห์ปรับลดประมาณการผลประกอบการลง
และรวมถึงราคาเป้าหมายด้วย
ส่วนหุ้นที่ถูกสาดออกมาต่อเนื่อง แอบไปได้ข้อมูลมาว่า มีบรรดากองทุนที่เชิญบุคคลในวงการท่องเที่ยวเข้ามาให้ข้อมูล เกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ข้อมูลที่หลุดออกมาคือ จำนวนนักท่องเที่ยวไตรมาส 4/2561 จะออกมาไม่ดี
และในไตรมาสนี้หุ้นที่เกี่ยวกับท่องเที่ยวน่าจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก และทำให้บรรดากองทุนทยอยขายหุ้นออกมา
จริง ๆ แล้วสัญญาณของการถดถอยนั้น ไม่ได้เพิ่งจะมาเกิดขึ้น
แต่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2561 ที่จากเดิมตัวเลขนักท่องเที่ยวขยายตัว 2 หลัก หรือ 11-12% และลงมาเหลือหลักเดียวคือ 8-9%
โดยเฉพาะหลังจากเกิดเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต
เท่านั้นยังไม่พอ
ยังมีบุคคลในรัฐบาล ออกมาพูดจนสร้างผลกระทบต่อการท่องเที่ยวขึ้นไปอีก เลยเกิดภาวะนักท่องเที่ยวเติบโตระดับต่ำ
ส่วนผู้บริหารด้านการท่องเที่ยวก็ออกมาพูดอะไรมากกันไม่ได้
สิ่งที่ทำได้ก็คือแอบ ๆ คุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันกับผู้เกี่ยวข้องฝั่งเอกชนด้วยกัน
ราคาหุ้น AOT ลงมาต่ำสุดในรอบ 1 ปี เมื่อเดือนกรกฎาคม (เรือล่มที่ภูเก็ต) โดยราคาลงมา (ปิด) ที่ 61.00 บาท
นักวิเคราะห์มองว่า ระดับ 61.00 บาท เป็นแนวรับสำคัญ หรือราคาไม่ควรลงไปต่ำกว่า 60.00 บาท โดยเมื่อวานนี้ราคาลงไปจุดต่ำสุด 60.75 บาท ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในช่วง 16.00 น. หรือ 4 โมงเย็นเป็นต้นมา
ส่วนหุ้น CPALL ในช่วงเช้าราคาปรับลงต่อ
แต่พอภาคบ่ายตั้งแต่ 3 โมงเย็น ก็เริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาเช่นเดียวกัน
และคาดกันว่า น่าจะเป็นแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันหรือกองทุนต่าง ๆ ที่เห็นว่าราคาเริ่มกลับมาน่าสนใจ
ส่วนปัจจัยลบเกี่ยวกับ CPALL ที่ทำให้ราคาร่วงก่อนหน้านี้ น่าจะพอรับทราบกันไปแล้วว่ามาจากหลายสาเหตุ รวมถึงหุ้นตัวนี้ต่างชาติยังมีสัดส่วนการถืออยู่ หุ้นจึงมีความเสี่ยงช่วงที่ต่างชาติขายออกมา (อีก)
นักวิเคราะห์ มองเช่นกันว่า ระดับ 65.00 บาท สำหรับหุ้น CPALL น่าจะพอรับไหว
หรืออย่างแย่สุด ก็ไม่น่าลงไปต่ำกว่า 63.00 บาท
แต่หุ้นทั้ง 2 หลักทรัพย์นี้ ยังต้องวัดใจกองทุน และต่างชาติด้วย
เพราะกองทุนเอง ก็อาจจะขายออกมาต่อเนื่อง เพื่อรอจังหวะการซื้อกลับในช่วงที่ราคาเหมาะสม
ส่วนนักลงทุนต่างชาติ ที่มีการคาดหวังกันไปว่า จะกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทย ในช่วงการเลือกตั้งนั้น
ประเด็นนี้อาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
เพราะต่างชาติขายทั้งภูมิภาคเอเชีย มีปัจจัยมาจากปัจจัยเรื่องสงครามทางการค้า และปัญหาค่าเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ หรือเป็นประเด็นที่มาจากภาพใหญ่มากกว่า
ล่าสุด วานนี้ช่วงเย็น ๆ ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พ.ศ. 2561 และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) พ.ศ. 2561 แล้ว ซึ่งจะมีผลบังคับใช้หลังจากประกาศในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน
ราชกิจจาฯ ที่ออกมานี้ เป็นปัจจัยหนุนตลาดตั้งแต่ช่วงบ่ายวานนี้
และอาจจะเลยมาถึงวันนี้ได้อีก
มาลุ้นกันดูครับ