SPA เดินหน้าขยายธุรกิจเต็มกำลัง!

มีมุมมองในเชิงบวกต่อ SPA หลังจากเปิดแบรนด์ใหม่ที่เน้นลูกค้าในกลุ่มใหม่ โดยจะเน้นพนักงานออฟฟิศที่เป็น Office syndrome โดยจะใช้นักกายภาพบำบัด และมีรูปแบบสาขาที่เล็กกว่า Let's Relax (คาดใช้เงินลงทุนสาขาละ 5 ล้านบาท ต่ำกว่า Let's Relax ที่สาขาละ 15-20 ล้านบาท) คาดเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 4 ปี 2561 และเน้นบริเวณที่มีสำนักงานหนาแน่น คาดว่าจะคืนทุนภายใน 3 ปี


คุณค่าบริษัท

มีมุมมองในเชิงบวกต่อ บริษัท สยามเวลเนสกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ SPA หลังจากเปิดแบรนด์ใหม่ที่เน้นลูกค้าในกลุ่มใหม่ โดยจะเน้นพนักงานออฟฟิศที่เป็น Office syndrome โดยจะใช้นักกายภาพบำบัด และมีรูปแบบสาขาที่เล็กกว่า Let’s Relax (คาดใช้เงินลงทุนสาขาละ 5 ล้านบาท ต่ำกว่า Let’s Relax ที่สาขาละ 15-20 ล้านบาท) คาดเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 4 ปี 2561 และเน้นบริเวณที่มีสำนักงานหนาแน่น คาดว่าจะคืนทุนภายใน 3 ปี

นอกจากนี้ SPA มีการเปิดสาขา 6 แห่งที่ภูเก็ต โดยเชื่อว่าลูกค้าหลักของ SPA ที่เป็นนักท่องเที่ยวที่มาเองมากกว่าทัวร์ ทำให้ผลกระทบจำกัดกว่า แต่อย่างไรก็ตาม ปรับประมาณการปี 2561 ลง 7% หลังจากที่ปรับรายได้ลดลง 6.2% จากการขยายสาขาที่ช้ากว่าคาดในครึ่งแรกของปี 2561 (การเปิดสาขากระจุกตัวในครึ่งหลังปี 2561 เป็นหลัก)

ขณะที่ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทมีรายได้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 271.24 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 229.22 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการบริการเพิ่มขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 48.38 ล้านบาท หรือ 0.08 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 40.33 ล้านบาท หรือ 0.07 บาทต่อหุ้น

ส่วนผลการดำเนินงานงวดหกเดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทมีรายได้ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 552.08 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 456.89 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 456.59 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขยับขึ้นมาอยู่ที่ 104.53 ล้านบาท หรือ 0.18 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อน 85.49 ล้านบาท หรือ 0.15 บาทต่อหุ้น

สิ่งสำคัญ ปัญหาหนี้สินของบริษัทไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะบริษัทมีหนี้สินรวมแค่ 386.43 ล้านบาท เมื่อนำมาเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นมากถึง 819.44 ล้านบาท ได้ค่า D/E อยู่ที่ระดับ 0.47 เท่า นั่นหมายความว่า บริษัทไม่มีปัญหาเรื่องหนี้สินอย่างแน่นอน

ขณะที่นักวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ แนะนำให้ “ซื้อ” โดยใช้มูลค่าที่เหมาะสมของปี 2562 ที่ 18.20 บาท (เดิม 18.00 บาท) ด้วยวิธี DCF โดยใช้ WACC ที่ 8.4% และการเติบโตงวดสุดท้ายที่ 5% และด้วย EPS ที่เพิ่มขึ้น 30% และ 27% ในปี 2561-2562 จะทำให้ PER อยู่ที่ 36.7 เท่า และ 28.9 เท่า

ผู้ถือหุ้นรายใหญ่

  1. นายประเสริฐ จิราวรรณสถิต 63,140,000 หุ้น 11.08%
  2. นายวิบูลย์ อุตสาหจิต 63,140,000 หุ้น 11.08%
  3. นางปราณี ศุภวัฒนเกียรติ 53,720,000 หุ้น 9.42%
  4. นางฐานิศร์ อมรธีรสรรค์ 53,656,900 หุ้น 9.41%
  5. นายณรัล วิวรรธนไกร 20,240,000 หุ้น 3.55%

รายชื่อกรรมการ

  1. นางปราณี ศุภวัฒนเกียรติ ประธานกรรมการบริษัท
  2. นายวิบูลย์ อุตสาหจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, กรรมการ
  3. นายประเสริฐ จิราวรรณสถิต กรรมการผู้จัดการ, กรรมการ
  4. นางฐานิศร์ อมรธีรสรรค์ กรรมการ
  5. นายณรัล วิวรรธนไกร กรรมการ

Back to top button