สินทรัพย์ปลอดภัย
ศุกร์ที่ผ่านมา ปะหน้าเสี่ยหลายคน บ่นว่าตกขบวนขาขึ้นอย่างน่าเขกกะโหลกตัวเอง เพราะคิดถึงคำของเบนจามิน แกรห์ม เรื่อง “ส่วนต่างความปลอดภัยมากเกิน”
พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล
ศุกร์ที่ผ่านมา ปะหน้าเสี่ยหลายคน บ่นว่าตกขบวนขาขึ้นอย่างน่าเขกกะโหลกตัวเอง เพราะคิดถึงคำของเบนจามิน แกรห์ม เรื่อง “ส่วนต่างความปลอดภัยมากเกิน”
วานนี้ หากตกขบวนอีก คงต้องตีอกชกหัวตัวเองซ้ำอีก เพราะกองทุนและฟันด์โฟลว์เกิดอาการ “กินยาผิดซอง” กะทันหันเหมือนนัดแนะล่วงหน้า
แรงซื้อที่ดันดัชนี SET ทะยานเกือบ 30 จุดวานนี้ จนแนวต้านฉีกกระจุย อาจจะเน้นหนักไปที่หุ้นกลุ่มธนาคารที่บุ๊กค่อนข้างต่ำ และพลังงานหรือหุ้นพื้นฐานเดิม ๆ แต่ที่ชัดเจนคือมีการซื้อที่กระจายตัวไปยังหุ้นขนาดกลางและเล็กมากขึ้น เป็นนิมิตใหม่ที่น่าสนใจว่า แรงซื้อนี้น่าจะมั่นคงพอสมควร
การทะยานวานนี้ ค่อนข้างต่อเนื่องกับเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา เพราะมีลักษณะเป็นปรากฏการณ์ breaking out หรือ breakouts ที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกันกับวันอังคารที่ 25 กรกฎาคม 2560 อย่างมาก แม้จะต่างกันด้วยรายละเอียด
สถานการณ์ที่เป็นปัจจัยบวก ล่าสุด 4 เรื่องคือ 1) โรดแมปสู่การเลือกตั้งในประเทศชัดเจนขึ้นสร้างความเชื่อมั่น 2) สหรัฐฯ มีท่าทีอ่อนลงเพราะสงครามการค้าได้ผลต่ำ เริ่มแผ้วทางเปิดเจรจาการค้ารอบใหม่กับจีน แม้แรงกดดันต่อรองไม่จบ แต่การรุกมีท่าทีอ่อนลง 3) Bond Yield สหรัฐฯ อ่อนลง และ 4) ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกพุ่งแรงต่อเนื่องจากเฮอร์ริเคนและการลดกำลังผลิตของซาอุดีอาระเบีย
ภาวะ breaking out หรือ breakouts ที่วานนี้ทำให้ดัชนี SET ทำนิวไฮรอบ 7 เดือน จะทำให้ดัชนีไปถึง 1,800 จุดหรือไม่ ยังพูดได้ยาก แต่ที่แน่นอนว่ารอบของการปรับฐานขาลงจบไปแล้ว
เช้าวานนี้ บาททำท่าอ่อนค่าตามภูมิภาคจากแรงซื้อดอลล์ แต่มีแนวโน้มแข็งค่า จากการที่มีแรงซื้อเงินเยนของญี่ปุ่นสวนทาง เพราะเหตุนักลงทุนในญี่ปุ่นได้เทขายเงินดอลลาร์และหันมาซื้อเงินเยน ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 10% คิดเป็นวงเงินรวม 2 แสนล้านดอลลาร์ เพราะมีมุมมองว่าการลดภาษี มีเป้าหมายเพื่อต่อรองในการเจรจามากกว่าจะเล่นงานจริงจัง แต่บาทมีทิศทางตามค่าเยนเพราะมีความปลอดภัยมากกว่า
นอกจากนี้ ยังมีข่าวบวกเพิ่มเติมว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งคาดว่าคะแนนของ กรรมการจะเสียงแตกมากขึ้น หากยังให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิม สะท้อนว่าฟันด์โฟลว์น่าจะไหลกลับมาที่ตลาดหุ้นมากกว่าเดิม หลังจากที่ปีนี้ขายสะสมสุทธิไปแล้วกว่า 2 แสนล้านบาท
ยามนี้บรรดานักวิเคราะห์เทคนิค ที่สัปดาห์ก่อนพากันมองข้ามช็อตไปที่แนวต้าน 1,750 จุด โดยอ้างถึงอารมณ์ร่วม (Sentiment) ตลาดฯ ที่ดีขึ้นสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนได้อีกครั้ง คงคุยโขมง และมองหาแนวต้านใหม่ที่ 1,780 จุดกันเลยทีเดียว โดยที่ประเด็นเรื่องสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน จะขยายตัวรุนแรงมากขึ้นหรือลดลง ไม่ใช่ประเด็นอะไรอีกแล้ว
หลังจากที่รอคอยกันมานานหลายเดือนนับแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา เป้าหมายสำคัญของรอบใหม่คือ เหนือแนวต้าน 1,800 จุดยังคงไม่ชัดเจน แม้ว่าจะมีสัญญาณล่วงหน้าของสื่อตะวันตกที่บอกว่า เศรษฐกิจไทยยามนี้ เลวร้ายน้อยที่สุดในประเทศตลาดเกิดใหม่ เอาไว้แล้ว
ภาวะ breaking out ที่เกิดขึ้น นักลงทุนที่ชาญฉลาดจะต้องตัดสินใจว่าควรเข้าลุยหุ้นที่ฉับไวต่อแรงซื้อ หรือหุ้นพื้นฐานที่ราคาต่ำ และขายเมื่อมีกำไรโดยไม่ต้องสนใจราคาสูงสุดคือ margin of safety ที่ดีสุดตามสูตรของเบนจามิน แกรห์ม เพื่อหลบเลี่ยงสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนา จากการหลงระเริงเป็นแมงเม่าปีกหักง่ายดายมาก กว่าจะรู้ตัวเงินหน้าตักก็ไม่เพียงพอให้แก้ตัวใหม่
สถานการณ์ยามนี้ คำถามสำคัญซ้ำซากที่ว่า ภาวะดังกล่าวนี้จะดำรงอยู่นานแค่ไหน เป็นคำถามที่ไม่มีความหมายอะไรมากนัก เพราะคำว่า “สินทรัพย์ปลอดภัย” มีความหมายที่ต้องถอดรหัส