พาราสาวะถี
ปล่อยให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 โชว์ฝีปาก ออกมาแอ็คชั่นกันไป แต่คนที่ใช้ตำแหน่งผบ.ทบ.ก่อการรัฐประหารอย่าง “บิ๊กบัง” พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน กลับเก็บตัวเงียบไม่ปริปากใด ๆ ตรงนี้ก็พอจะเข้าใจได้ถ้าย้อนกลับไปพิจารณาถ้อยคำของบิ๊กบังที่เปิดใจหลังพ้นอำนาจ การเคลื่อนพลล้มรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เวลานั้น “บางอย่างพูดไม่ได้ต้องให้ตายไปกับตัวเอง”
อรชุน
ปล่อยให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 โชว์ฝีปาก ออกมาแอ็คชั่นกันไป แต่คนที่ใช้ตำแหน่งผบ.ทบ.ก่อการรัฐประหารอย่าง “บิ๊กบัง” พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน กลับเก็บตัวเงียบไม่ปริปากใด ๆ ตรงนี้ก็พอจะเข้าใจได้ถ้าย้อนกลับไปพิจารณาถ้อยคำของบิ๊กบังที่เปิดใจหลังพ้นอำนาจ การเคลื่อนพลล้มรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร เวลานั้น “บางอย่างพูดไม่ได้ต้องให้ตายไปกับตัวเอง”
ไม่เพียงเท่านั้น จากคำพูดดังกล่าวการเดินทางไปพบและขอโทษทักษิณของบิ๊กบังก็ทำให้สังคมรับรู้ได้ว่า การรัฐประหารของคมช.มันมีที่มาที่ไปอย่างไร ในฐานะผบ.ทบ.ผู้กุมขุมกำลังกองทัพเวลานั้น จำใจก่อการเพราะเลี่ยงไม่ได้ นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า “เสียของ” จนทำให้คณะรัฐประหารอีก 8 ปีให้หลังต้องวางแผนกันอย่างแยบยลก่อนยึดอำนาจจาก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
กลเกมแห่งอำนาจเป็นเรื่องของสมบัติผลัดกันชม และทุกกระบวนท่ามักจะมีเบื้องหลังที่เมื่อถึงวันหนึ่ง สิ่งที่เคยเป็นความลับก็จะถูกคายออกมา ไม่ต่างกันกับที่ทักษิณสวนกลับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ไล่ให้คนแดนไกลไปเคลียร์คดีความของตัวเองให้จบก่อนคิดจะคุยเรื่องปรองดอง ด้วยคำพูดที่ว่า “ท่าทีและน้ำเสียงขึงขังน่ากลัวจัง ไม่นุ่มนวลอ่อนหวานเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอเป็นผบ.ทบ.เลย”
เล่นเกมเขย่าขวัญสั่นประสาทกันเห็น ๆ แต่บิ๊กป้อมคงไม่ยอมให้เตะกินเปล่าแน่นอน เพราะคนที่ถือครองอำนาจและกำลังจะไปต่อ จะปล่อยให้มีใครมาดิสเครดิตกันอย่างนี้ไม่ได้ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้รู้ได้เห็นว่าเวลาคนเราที่จะก้าวไปสู่เก้าอี้แห่งความฝันนั้น มันต้องทำทุกวิถีทางกันอย่างไร กระนั้นก็ตาม ปม 12 ปีรัฐประหารที่เปิดประเด็นด้วยทักษิณ ก็มีคนมาช่วยขย่มตามคาด
ไม่ใช่ใครอื่นก็ลิ่วล้อจากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น วัชระ เพชรทอง หรือ ราเมศ รัตนะเชวง รวมไปถึงที่ปรึกษาของบิ๊กป้อมอย่าง ไพศาล พืชมงคล แต่ละประโยคที่หยิบมาตอบโต้นั้น มันก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่ ทุกอย่างถูกผลิตซ้ำทั้งจากวาทกรรมของพรรคเก่าแก่ว่าด้วยเผด็จการเสียงข้างมากหรือเผด็จการรัฐสภา และทุนสามานย์ที่ได้ยินได้ฟังในช่วงที่ระบอบสนธิ-จำลองยึดครองทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน
ต้องไม่ลืมเป็นอันขาดว่า การรุกไล่บดขยี้ทักษิณด้วยการเปิดปมต่าง ๆ นั้น วันนี้ประชาชนจำนวนไม่น้อยยังตราตรึงกับโพสต์ของ นคร มาฉิม อดีตส.ส.พิษณุโลก ค่ายประชาธิปัตย์ ถึงขบวนการรวมหัวเพื่อที่จะโค่นล้มระบอบทักษิณ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ต่างพร้อมใจกันเชื่อว่าสิ่งที่นครพูดมาน่าจะเป็นข้อมูลจริงมากกว่าความเท็จ
สรุปแล้วไม่ว่าจะรัฐประหารของคมช.หรือคสช. ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับมือที่มองไม่เห็นทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าหนล่าสุดนี้ ทุกอย่างมาเหนือเมฆมีการวางแผนกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ใช่แค่กำจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซาก แต่ยังวางกลไกสืบทอดอำนาจของตัวเองไปอีกยาวนาน โดยไม่มีเสียงคัดค้านจากชนชั้นนำแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม การสืบทอดอำนาจในบริบทที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะกลับมาครองบัลลังก์ผู้นำประเทศอีกกระทอกนั้น ดูเหมือนว่าฝ่ายอำนาจเผด็จการจะมั่นใจสุด ๆ ว่าตัวเองจะเข้ามาบริหารประเทศด้วยการสนับสนุนของพรรคการเมืองที่รวบรวมเสียงข้างมากได้ แต่ฟังคำพูดของท่านผู้นำล่าสุดไม่ใช่แค่นั้น มองกันไปถึงพรรคของตัวเองชนะการเลือกตั้งเลยทีเดียว
การที่พูดว่า “พรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุดจะได้ตั้งรัฐบาลและตั้งนายกฯ” เป็นการส่งสัญญาณบางอย่าง แต่ก็อีกนั่นแหละประสาคนไม่ทำตามสัญญา แม้กระทั่งเพลงที่ตัวเองแต่งมากับมือแท้ ๆ ยังต้องสั่งให้คนเลิกจำ นับประสาอะไรกับคำพูดในลักษณะนี้ เมื่อถึงเวลาก็จะออกลูกพลิ้ว สิ่งที่พูดไม่ได้หมายความว่าพรรคที่ชนะเลือกตั้ง แต่เป็นพรรคที่ไปรวบรวมเสียงข้างมากมาได้ต่างหาก
ต้องไม่ลืมว่า ประเด็นหลังนั้นแม้แต่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพลพรรคประชาธิปัตย์ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าต้องให้โอกาสกับพรรคที่สามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ดำเนินการไปก่อน ก่อนที่จะมองไปถึงการไปอุ้มคนนอกมาเป็นนายกฯ นั่นหมายความว่า พรรคที่เป็นฝ่ายค้านมานานกว่า 20 ปีต่างเชื่อมั่นเต็มที่ว่ายังไงตัวเองก็แพ้เลือกตั้ง
หากไปบอกว่าให้พรรคที่ได้เสียงข้างมากหรือชนะเลือกตั้งเป็นแกนนำจัดรัฐบาล ก็เท่ากับปิดโอกาสตัวเอง พรรคเก่าแก่ยุคนี้คงไม่ต้องไปหวังสปิริตเหมือนครั้งที่ ชวน หลีกภัย พาคณะพ่ายแพ้ต่อความหวังใหม่ของ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อครั้งกระโน้นไม่ได้ โดยครั้งนั้นแม้จะได้เก้าอี้ห่างกันเพียง 2 เสียงแต่นายหัวชวนก็โชว์ความมีน้ำใจนักกีฬาด้วยการประกาศให้พ่อใหญ่จิ๋วรวบรวมไพร่พลจัดตั้งรัฐบาล
แม้ว่าหลังจากนั้นไม่นานเมื่อเกิดวิกฤติฟองสบู่ บิ๊กจิ๋วจะแสดงสปิริตด้วยการลาออกแล้วเกิดกบฏกองทัพงูเห่าตามมาแล้วนำพานายหัวชวนกลับมานั่งเป็นผู้นำประเทศรอบสองก็ตาม ความงดงามของการเมืองในอดีตคงไม่หวนกลับคืนมาอีกแล้ว เพราะระยะเวลากว่า 10 ปีหลังมานี้ เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ทางการเมืองไม่ได้หวังแค่ชนะแล้วจบกัน แต่ห้ำหั่นถึงขั้นต้องตายกันไปข้าง
ประกาศมาแล้วสำหรับการแบ่งเขตเลือกตั้งของกกต. ใช้วิธีคำนวณจำนวนประชากร 189,110 คนต่อส.ส. 1 คน ส่งผลให้มี 23 จังหวัดที่จำนวนส.ส.จะหายไป น่าสนใจตรงที่ภาคเหนือตอนบน 9 จังหวัดส.ส.หายไป 3 คน ส่วนภาคอีสานหายไป 10 ที่นั่ง แต่คงไม่มีนัยใด ๆ ทางการเมือง เพราะทุกอย่างใช้เกณฑ์ประชากรเป็นหลัก จะแบ่งกันแบบมั่วซั่วไม่ได้
ที่น่ากลัวกว่าคงเป็นปมห้ามหาเสียงทางโซเซียลมีเดีย ขู่ฟ่อด ๆ มาจากผู้มีอำนาจกกต.จะทำหน้าที่พิจารณาว่าพรรคการเมืองใดที่ใช้โซเชียลมีเดียแล้วเข้าข่ายการหาเสียง ซึ่งต้องมีบทลงโทษตามกฎหมาย แต่ก็น่าแปลกใจที่ท่านผู้นำไปแสดงวิสัยทัศน์ รัฐบาลได้ตระหนักถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศ ฉายหนังซ้ำก็คือวางเป้าเป็นไทยยุค 4.0 แต่สิ่งที่เห็นมันย้อนแย้ง ถ้าคิดแบบเข้าใจโลกนี่คือธาตุแท้และความจริงของผู้เป็นเผด็จการ