พาราสาวะถี

สมกับเป็นข้าราชการยุคเผด็จการจริง ๆ สิ่งที่ สุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ชี้แจงกับนักข่าวต่อกรณีสหพันธ์ข้าราชการบำนาญแห่งประเทศไทย ยื่นข้อเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือสนช. เพื่อเสนอร่างพ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญ โดยขอให้สนช.สนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่การพิจารณา เพื่อทำให้ข้าราชการบำนาญมีรายได้เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุผลว่าค่าครองชีพสูงขึ้นสวนทางกับรายได้ที่ได้รับ


อรชุน

สมกับเป็นข้าราชการยุคเผด็จการจริง ๆ สิ่งที่ สุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง ชี้แจงกับนักข่าวต่อกรณีสหพันธ์ข้าราชการบำนาญแห่งประเทศไทย ยื่นข้อเรียกร้องให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือสนช. เพื่อเสนอร่างพ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญ โดยขอให้สนช.สนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่การพิจารณา เพื่อทำให้ข้าราชการบำนาญมีรายได้เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุผลว่าค่าครองชีพสูงขึ้นสวนทางกับรายได้ที่ได้รับ

คำตอบของอธิบดีกรมบัญชีกลางคงไม่มีใครคาดคิด เพราะดุเดือดและเป็นการมองไม่เห็นหัวของข้าราชการบำนาญโดยสิ้นเชิง การที่จะมาบอกว่าได้รับเงิน 2 หมื่นบาทต่อเดือนไม่พอใช้เหตุผลคืออะไร คนยากจนกว่าเขาได้รับเงินน้อยกว่านี้อีกมากทำไมเขาอยู่ได้ คนได้เงิน 2 หมื่นบาทนำเงินไปใช้อะไรกันบ้าง กิจกรรมไม่ต้องไปทำกันเยอะสิ! และตรงนี้ถือเป็นเรื่องการใช้ชีวิต ทุกคนต้องบริหารจัดการชีวิตของตนเองคงไม่มีข้อแนะนำอะไร

ตามมาอีกดอก ถ้าขึ้นบำนาญต้องขึ้นเงินเดือนข้าราชการ โดยขณะนี้เงินเดือนข้าราชการที่เป็นกลุ่มคนทำงานยังไม่ได้มีการพูดถึง คนรับบำนาญจะมาพูดถึงเรื่องนี้ได้อย่างไร เพราะปกติต้องขึ้นเงินเดือนข้าราชการก่อนจึงจะขึ้นเงินบำนาญ เนื่องจากเป็นเรื่องผูกติดกันไว้ แต่จะมาขอขึ้นบำนาญก่อนแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

คงไม่แปลกที่ท่าทีของอธิบดีท่านนี้จะเป็นเช่นนั้น เพราะแม้แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังผู้เป็นเจ้านายเองอย่าง อดิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ก็ตอบคำถามนักข่าวในท่วงทำนองที่ไม่ต่างกัน ทำไมสำนักข่าวถึงไปยกประเด็นแบบนี้เป็นเรื่องสำคัญ พวกคุณเงินเดือนเท่าไหร่ น้อยไหมถ้าน้อยไปบอกเจ้านายสิว่าขอเพิ่ม แสดงความเป็นข้าราชการและรัฐมนตรีของรัฐบาลเผด็จการกันเด่นชัด

การประชดประชันไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ยิ่งในยุคของรัฐบาลที่อ้างตัวว่าจะเข้ามาเพื่อการปฏิรูปและสร้างความปรองดอง สิ่งที่อธิบดีกรมบัญชีกลางและรัฐมนตรีคลังแสดงออกมา ถามว่าเป็นไปด้วยมิตรไมตรีและชี้แจงกันด้วยเหตุด้วยผลหรือไม่ หรือคิดว่ามีท่านผู้นำเป็นแบบอย่างนึกจะด่า จะโกรธหรือตะคอกอะไรใครก็ได้ ไม่ต้องกลัวอะไรเพราะใครก็ไม่กล้าจะมาตรวจสอบ

หรือเป็นเพราะข่าวถังแตกที่แม้แต่ท่านผู้นำไม่ว่าจะขึ้นเวทีใดต้องคอยตอกย้ำเรื่องเงินทุนสำรองของประเทศเข้มแข็ง ทั้ง ๆ ที่บางงานคนที่ไปฟังไม่รู้เรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย การเก็บอาการน่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับสถานการณ์ที่ตัวเองและพรรคพวกมองว่าอ่อนไหวต่อการถูกหยิบยกไปโจมตี ยิ่งแสดงอารมณ์ยิ่งเป็นการซ้ำเติมตัวเองและทำให้คนอื่นมองอย่างสมเพช

ความจริงแล้วประเด็นเรื่องขึ้นเงินเดือนข้าราชการบำนาญ ขึ้นไม่ได้เพราะอะไรชี้แจงเป็นเหตุเป็นผลคนก็รับฟัง พอออกมารูปนี้คนที่เสียหายก็คือตัวอธิบดีเอง ดังที่ปรากฏเป็นข่าวบรรดาอดีตข้าราชการบำนาญต่างแสดงความไม่พอใจรับไม่ได้กับคำพูดของอธิบดีรายนี้ เป็นการให้ข่าวที่ขาดการสำรวจศึกษาและการวิจัยที่แท้จริง ตัวเองไม่เคยเกษียณและยังไม่เคยสำรวจปัญหาของผู้เกษียณ แล้วจะรู้ปัญหาที่แท้จริงของข้าราชการที่เกษียณไปแล้วได้อย่างไร

ดังนั้น ข้อเสนอที่บรรดาอดีตข้าราชการสะกิดเตือนอธิบดีกรมบัญชีกลางที่ไม่มีสามี ไม่มีบุตร ไม่มีภาระที่ต้องรับผิดชอบกับบุคคลในครอบครัวเช่นเดียวกับข้าราชการบำนาญจำนวนมาก ให้นำเงินเดือนรวมค่าตำแหน่งเกือบแสนบาทบริจาคให้กาชาดแล้วให้เหลือ 9,000 บาท จากนั้นไม่ควรอยู่รวมกับพ่อแม่ ให้หาลูกมาเลี้ยง 3 คน เป็นการพิสูจน์ด้วยตนเองว่าเงิน 9,000 บาทที่ว่าพอใช้จ่ายรายเดือนหรือไม่

เมื่อมีการใช้อารมณ์มาตอบคำถาม ย่อมที่จะหลีกเลี่ยงต่อการถูกท้าทายด้วยอารมณ์ไม่ได้เช่นกัน เรื่องพรรค์นี้คงไม่ต้องไปถามกับท่านผู้นำเพราะคำตอบก็คงจะไม่ต่างจากรัฐมนตรีและอธิบดีคนดังว่า ถ้าคิดจะปฏิรูปกันแล้วทำได้แค่นี้ก็น่าเป็นห่วงอนาคตประเทศชาติ ดีนะที่ไม่มีใครลุกขึ้นมาทวงถามเรื่องการจัดสรรงบประมาณจากอธิบดีกรมบัญชีกลางว่าให้ความสำคัญกันอย่างไร

แต่ก็มีเรื่องที่น่าสนใจกับความเห็นของ อนุสรณ์ ธรรมใจ ในฐานะอดีตกรรมการและผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ว่า รัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารสองรัฐบาลในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา จะสนองตอบกลุ่มที่สนับสนุนการรัฐประหารมากกว่าประชาชนโดยรวม จึงพบว่างบประมาณทหารจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในยุครัฐบาลรัฐประหาร

โดยรัฐบาลประยุทธ์มีการจัดสรรงบประมาณให้กระทรวงกลาโหมสูงกว่ารัฐบาลสุรยุทธ์อย่างมาก แม้นจะเป็นรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารเหมือนกัน นอกจากนี้ รัฐบาลคสช.ยังก่อหนี้ผูกพันในงบประมาณแผ่นดินไปจนถึงปี 2565 ซึ่งอนุสรณ์ยังระบุถึงงานวิจัยจำนวนมากที่บ่งชี้ว่าระบอบประชาธิปไตยจะมีการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ การศึกษา สาธารณสุข สูงกว่าระบอบเผด็จการและสามารถรับมือวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจได้ดีกว่าด้วย

อาจฟังดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับปมปัญหาข้าราชการบำนาญ แต่ความจริงแล้วทุกอย่างมันเกี่ยวพันกันทั้งสิ้น อยู่ที่ว่าผู้มาทำหน้าที่บริหารประเทศจะเข้าใจปัญหาและบริหารจัดการกันอย่างเป็นระบบได้ดีขนาดไหน โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณแน่นอนว่ากว่า 4 ปีที่ผ่านมา เห็นภาพกันอย่างชัดเจนว่างบประมาณด้านใดที่ได้รับเพิ่มขึ้นทุกปี

สิ่งที่อนุสรณ์เป็นกังวลอีกประการและคงหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นก็คือ หากมีการสืบทอดอำนาจโดยไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตยหลังการเลือกตั้งในปี 2562 จะเกิดความเสี่ยงในการเกิดการเผชิญหน้าและความขัดแย้งทางการเมืองรอบใหม่ได้ และเราจะอยู่ในระบอบกึ่งประชาธิปไตยภายใต้การสืบทอดอำนาจของ คสช.ต่อไป

ข้อมูลที่น่าสนใจซึ่งคิดว่าคณะเผด็จการคงไม่มีหรือมีแต่ไม่แยแสคือ ความเสียหายทางเศรษฐกิจ โอกาสทางเศรษฐกิจ การลงทุน การค้า และโอกาสในการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนจะอยู่ที่ประมาณ 10.970 ล้านบาทเทียบเท่ากับ 3.65 เท่าของเม็ดเงินงบประมาณปี 2562 และเม็ดเงินดังกล่าวหากไม่เสียหายไปจากผลกระทบของการรัฐประหารและวิกฤตการณ์ทางการเมือง ย่อมสามารถนำมาใช้พัฒนาประเทศได้โดยไม่ต้องเก็บภาษีไม่ต้องก่อหนี้สาธารณะเป็นเวลา 3.65 ปี คนจะสืบทอดอำนาจเสียอย่างใครจะทำไม

Back to top button