หุ้นไทยถูก ?
*ข้อมูลที่ “โมนิก้า” ชอบมากสุดอย่างหนึ่งของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาคือค่า P/E 17 เท่า ซึ่งเป็นจุดที่บอกให้นักเล่นได้รู้ว่า ตลาดหุ้นไทยไม่แพงเหมือนกับที่หลายคนคิด และมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก หลังผลการดำเนินงานของบริษัทต่าง ๆ เริ่มกระเตื้องขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ผนวกกับมีบริษัทใหม่ ๆ ที่มีผลงานปัง ๆ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นทุกปี เลยทำให้ภาพของตลาดหุ้นไทยยังดูสดใสนะซี
เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน
*ข้อมูลที่ “โมนิก้า” ชอบมากสุดอย่างหนึ่งของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาคือค่า P/E 17 เท่า ซึ่งเป็นจุดที่บอกให้นักเล่นได้รู้ว่า ตลาดหุ้นไทยไม่แพงเหมือนกับที่หลายคนคิด และมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก หลังผลการดำเนินงานของบริษัทต่าง ๆ เริ่มกระเตื้องขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ผนวกกับมีบริษัทใหม่ ๆ ที่มีผลงานปัง ๆ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นทุกปี เลยทำให้ภาพของตลาดหุ้นไทยยังดูสดใสนะซี
*ประเด็นดังกล่าวยังครอบคลุมถึง Yield ที่ระดับ 2.80% เหมือนเป็นการย้ำหัวหมุดให้เห็นว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่งดงาม ซึ่งจะเป็นตัวดึงดูดเม็ดเงินจากต่างประเทศให้กลับเข้ามาลงทุนอีกรอบ “โมนิก้า” ถึงไม่แปลกใจที่ดัชนีต้องใช้เวลาในการย่ำฐานที่บริเวณ 1,750 จุดนานสักหน่อย เพราะมันเป็นจุดเปลี่ยนผ่านสำคัญของการเล่นหุ้นในเที่ยวนี้ซิคะ
*วันนี้ถึงไม่ต้องคิดอะไรมากมายจากที่เป็นอยู่ เพราะแค่ลองหลับตาคิดถึงพัฒนาการของตลาดหุ้นไทยไปอีก 3 เดือนข้างหน้าว่ามีอะไรเติบโตอย่างแข็งแกร่งบ้าง เพียงเท่านี้ก็จะรู้ได้ทันทีว่า การประคองตัวของดัชนีตั้งแต่เช้าจรดเย็น ก่อนจะปิดไปที่ระดับ 1,749.42 จุด ลบไป 6.70 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.41 หมื่นล้านบาท มันหมายความว่า ยังมีคนดักรอช้อนหุ้นเมื่ออ่อนตัวลงมานะจ๊ะ
*เหมือนกับในรายของ PTT มีแรงเทขายแบบแทงกั๊กออกมานานพอสมควร แต่หุ้นยังเดินหน้าขึ้นได้ในบางวัน และในบางวันก็อ่อนตัวลงเล็กน้อยตามภาวะนั้น “โมนิก้า” มองเป็นการไต่เพดานบินปกติของหุ้นไซซ์ใหญ่ จึงต้องใช้เวลาเทกตัวขึ้นแต่ละช่องนานหน่อยในการขึ้นไปหายอดเก่าบริเวณ 58 บาท ล่าสุดวานนี้เห็นหุ้นปิดที่ระดับ 54 บาท บวกไป 0.25 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.29 พันล้านบาท มันเป็นช็อตที่น่าตามไปดูจริง ๆ เจ้าค่ะ
*คล้ายกับกรณีของ PTTEP ทะยานขึ้นด้วยความเชื่อเกี่ยวกับผลงานจะออกมาดี บวกกับเป็นตัวเต็งคว้าสัมปทานแหล่งบงกช-เอราวัณ จึงมีแรงซื้อเข้ามาไล่ราคาหุ้นเป็นระยะอย่างเมามัน จากช่วงต้นเดือน ก.ย. หุ้นยืนแถว 137 บาท มาวันนี้หุ้นขึ้นมายืนอยู่ที่ 154.50 บาท บวกไป 1 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.41 พันล้านบาท น้องโมคิดคร่าว ๆ ดูแล้วพบว่า ไม่ถึงเดือนให้รีเทิร์นไม่ต่ำกว่า 10% มันน่าสนใจสุด ๆ นะจะบอกให้
*อีกรายที่น่าสนใจสุด ๆ “โมนิก้า” ขอมองไปที่หุ้น BCPG เป็นรายถัดไปในทันที เพราะสเต็ปการขึ้นของหุ้นค่อนข้างเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งการเทรดวันนี้ก็อยู่บนแค่ค่า P/E 22 เท่า จึงเป็นช็อตที่มีลุ้นให้หุ้นไปต่อได้อีกแน่ ๆ เพราะการขึ้นมาปิดที่ 21.30 บาท บวกไป 0.50 บาท หรือขึ้นไป 2.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 570 ล้านบาท มันเป็นการบวกสวนภาวะตลาดหุ้นที่ปิดแดงโร่ เหมือนเป็นการแสดงว่า มีคนเข้ามาไล่ซื้อหุ้นพะยะค่ะ
*เช่นเดียวกับในรายของ SUPER ทำท่าเหมือนมาแค่แว่บเดียวแล้วหายเข้ากลีบเมฆ แต่เที่ยวนี้ดันเล่นกันต่อโดยไม่สนใจภาวะตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร ? น่าจะเป็นอีกหนึ่งช็อตที่ทำให้ขาลุยมีอาการขนลุกซู่ เพราะคนที่กระโจนเข้าใส่มีการหมุนเวียนสับเปลี่ยนหุ้นกันอุตลุด จนสุดท้ายหุ้นขึ้นมาปิดที่ 0.88 บาท บวกไป 0.05 บาท หรือขึ้นไป 6% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.12 พันล้านบาท น้องโมคงบอกได้แค่ว่า เกมนี้เป็นของพวกเสือปืนไวนะคะ
*เหมือนกับในรายของ SGP พยายามประคองตัวเพื่อรักษาฐานแนวรับสำคัญ 12.30 บาทไว้สุดชีวิต แต่ทันทีที่ทำนบแตกไม่มีชิ้นดี หุ้นก็ไหลรูดลงมาปิดที่ 11.90 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 3.25% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 202 ล้านบาทอย่างง่ายดาย “โมนิก้า” มองเป็นเรื่องของผลงานในไตรมาส 3 ไม่เข้าเป้าตามแผนที่วางไว้ พวกนกรู้ถึงสาดหุ้นทิ้งแบบไม่มีเยื้อใยอีกรอบไงล่ะคะ
*ประเด็นข้างต้นคล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสองแม่ลูก JMART กับ JMT ถูกเทขายทิ้งราวกับบริษัทมองไม่เห็นอนาคตกันแบบง่าย ๆ “โมนิก้า” ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากเหลือเกินสำหรับหุ้นคู่นี้ เพราะเมื่อมองจากภายมองไม่น่าจะมีอะไรรุนแรงสักเท่าไหร่ แต่ถ้าดูจากข้อมูลเก่าช่วงต้นปีที่ราคาหุ้นแม่ยืนแถว 25 บาท ขณะที่วานนี้ยืนปิดที่ 9.10 บาท ลบไป 0.40 บาท ลบไป 4.20% ด้วยวอลุ่มที่แห้งเหือด ส่วนตัวลูกเคยขึ้นไปยืนที่บริเวณ 20 บาท แต่วานนี้กลับทรุดตัวลงมาปิด 11.30 บาท ลบไป 0.90 บาท หรือลงไป 7.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 232 ล้านบาท ไม่มีคนเอาแล้วนะเนี่ย !
*ส่วนรายที่ไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่าง SPRC กลายเป็นประเด็นที่ต้องคิดมากนิดหนึ่ง เพราะสเต็ปการขึ้นของหุ้นผูกติดกับท่าทีของ “ฝรั่งตาน้ำข้าว” กับ “กองทุนตัวแสบ” จึงเดาทางการเล่นค่อนข้างยากเหลือเกิน เพราะช่วงที่ทะยานขึ้น..ก็ขึ้นไม่หลียวหลัง พอถึงช่วงดิ่งลง..ก็หัวปักลงพื้นลูกเดียว “โมนิก้า” ถึงอยากให้ดูกันเอาเองว่า การลงมาปิดที่ 14.80 บาท ลบไป 0.40 บาท หรือลงไป 2.60% ด้วยมูลค่า 388 ล้านบาท ท่ามกลาง P/E 6.50 เท่ามันน่าเล่นจริงไหม ?
*เช่นเดียวกับในรายของ SGF จู่ ๆ เข้ามาไล่ราคากันแบบคึกคัก จนหุ้นเด้งกลับขึ้นมาอย่างปึ๋งปั๋ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ออกอาการคอตก เดี๊ยนมองเป็นอีกหนึ่งเกมที่นักลงทุนต้องตัดสินใจกันเอาเองว่า การขึ้นมาปิดที่ 2 บาท บวกไป 0.15 บาท หรือขึ้นไป 8.10% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 288 ล้านบาท ใช่จุดที่ต้องตามไปดูแบบเกาะขอบเวทีหรือเปล่า ? เพราะสัปดาห์ก่อนเลิกเล่นแถวบริเวณ 2.20 บาทนะซี