จีนกับ JUST WAR
เพียงไม่กี่วันหลังจากปฏิเสธหรือยกเลิกการเจรจาเพื่อหาทางออกจากข้อพิพาททางการค้า จีนออกปฏิบัติการโฆษณาชวนเชื่อครั้งสำคัญ โดยอ้างถึงความชอบธรรมครั้งใหม่ ที่มีอเมริกาเป็น “ผู้ร้าย” ประเภท “หมาป่า” โดยจีนเป็นลูกแกะ (หนังเหนียวตายยาก)
พลวัตปี 2018 : วิษณุ โชลิตกุล
เพียงไม่กี่วันหลังจากปฏิเสธหรือยกเลิกการเจรจาเพื่อหาทางออกจากข้อพิพาททางการค้า จีนออกปฏิบัติการโฆษณาชวนเชื่อครั้งสำคัญ โดยอ้างถึงความชอบธรรมครั้งใหม่ ที่มีอเมริกาเป็น “ผู้ร้าย” ประเภท “หมาป่า” โดยจีนเป็นลูกแกะ (หนังเหนียวตายยาก)
ทฤษฎีที่ปรากฏในสมุดปกขาว (ซึ่งไม่ใช่หนังสือลามกแน่นอน) ของจีน ตอกย้ำ “สงครามที่ชอบธรรม” ของตนเอง อันเป็นทฤษฎีเก่าแก่ทางทหารที่ใช้กันมาตั้งแต่ยุคมหาภารตะยุทธ์ในอดีต (ในส่วนของภาค “ภควัทคีตา” อันลือลั่น)
รัฐบาลจีนได้เผยแพร่รายงานสมุดปกขาววานนี้ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมทั้งการแสดงจุดยืนของจีนที่มีต่อความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ และการหาทางออกที่สมเหตุสมผล ซึ่งเชื่อกันว่าสาระดังกล่าว จะเป็นแรงกดดันให้การพิจารณาขององค์การค้าโลกในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า กรณีจีนฟ้องสหรัฐฯ เมื่อปี พ.ศ. 2556 มีความละเอียดรอบคอบมากขึ้น โดยไม่กังวลกับปัญหาเรื่องที่สหรัฐฯ ข่มขู่ว่าพร้อมจะถอนตัวจากองค์การนี้
ความยาวของสมุดปกขาวดังกล่าว ไม่ธรรมดา เพราะหากไม่นับรวมคำนำแล้ว รายงานมีทั้งหมด 36,000 บท ประกอบด้วย 6 ตอน แยกได้ดังนี้
– ความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เอื้อประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
– การชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ – นโยบายปกป้องทางการค้าของคณะทำงานสหรัฐฯ
– การใช้นโยบายรุกรานทางการค้าของคณะทำงานสหรัฐฯ
– ความเสียหายของนโยบายที่ไม่เหมาะสมของคณะทำงานสหรัฐฯ ที่มีต่อเศรษฐกิจโลก
– สถานะของจีนในตลาดโลก
สมุดปกขาวระบุว่า จีนเป็นประเทศกำลังพัฒนารายใหญ่สุดของโลก และสหรัฐฯ เป็นประเทศที่พัฒนาแล้วรายใหญ่สุดของโลก ความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างจีนและสหรัฐฯ ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทั้งสองประเทศ อีกทั้งยังมีความสำคัญต่อเสถียรภาพและการพัฒนาเศรษฐกิจโลก
รายงานย้ำว่า ทั้งสองประเทศมีสถานะที่แตกต่างกันในด้านการพัฒนา และมีระบบเศรษฐกิจที่ต่างกันด้วย ด้วยเหตุนี้ ข้อพิพาททางการค้าที่เกิดขึ้นในบางระดับ จึงถือว่ายังอยู่ในระดับที่ปกติ อย่างไรก็ตาม จีนได้ออกแนวทางที่สำคัญเพื่อยกระดับความไว้วางใจซึ่งกันและกัน อีกทั้งเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ และจัดการกับประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายเห็นต่างกัน
ในแง่ของความเท่าเทียม ความมีเหตุมีผล และการเดินหน้าเพื่อที่จะพบกันคนละครึ่งทางนั้น ทั้งสองประเทศได้จัดตั้งกลไกการสื่อสารและการประสานงานในหลากหลายทาง เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านพาณิชย์และการค้า การเจรจาทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ และการเจรจาทางเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม
ทั้งสองฝ่ายได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา เพื่อเอาชนะอุปสรรคทุก ๆ ด้าน และผลักดันความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าให้มีความคืบหน้ามากขึ้น ซึ่งความพยายามดังกล่าวถือเป็นการสร้างรากฐานและสนับสนุนความสัมพันธ์ทวิภาคีโดยรวม
จุดเปลี่ยนสำคัญ อยู่ที่คณะทำงานชุดใหม่ของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ประกาศนโยบาย “America First” นับตั้งแต่ที่เข้ารับตำแหน่งในปี 2559 และได้เพิกเฉยต่อธรรมเนียมปฏิบัติอันเป็นปัจจัยพื้นฐานของการให้ความเคารพซึ่งกันและกัน และยังเพิกเฉยต่อการปรึกษาหารืออย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งถือเป็นแนวทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
รายงานสมุดปกขาวยังได้เน้นย้ำว่า จีนได้ออกมาตรการตอบโต้ “โดยพิจารณาถึงผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย” และเพื่อให้การค้าโลกดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย โดยจีนพิจารณาถึงหลักการของการแก้ไขข้อพิพาทผ่านทางการเจรจาและการปรึกษาหารือ และตอบสนองประเด็นที่สร้างความวิตกกังวลของสหรัฐฯ ด้วยความอดทนสูงและความเชื่อมั่นที่ดี
จีนระบุว่า ที่ผ่านมา ทางฝั่งจีนได้รับมือกับความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านี้ ด้วยทัศนคติของการแสวงหาจุดร่วมและสงวนจุดต่าง จีนได้เอาชนะความยากลำบากนานาประการ และใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อสร้างเสถียรภาพด้านความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ เอาไว้ ด้วยการจัดการเจรจาหลายรอบกับฝั่งสหรัฐฯ และเสนอแนวทางปฏิบัติเพื่อแก้ไขปัญหา
ขณะที่ ทางฝั่งสหรัฐฯ ได้กระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม และท้าทายจีนตลอดเวลา
สาระของสมุดปกขาวอาจจะเป็นเรื่องการค้า แต่รสชาติของสำนวนที่ใช้ ช่างละม้ายแม้นบทสนทนาระหว่างอรชุนกับพระกฤษณะ หรือขงเบ้งกับจิวยี่กันเลยทีเดียว เป็นการทำสงครามจิตวิทยาแบบเดียวกับกลยุทธ์หมากล้อม
เรียกได้ว่า ถึงไม่ใช่ ก็ใกล้เคียงเลยทีเดียว
คำว่า Just War มาจากรากศัพท์กรีกโบราณว่า jus bellum iustum ถือว่าเป็นหลักการพื้นฐานทางทหาร บางครั้งอาจจะเป็นจารีต หรือจริยธรรมของการทำสงคราม โดยตั้งบนฐานความคิดสำคัญว่า การเข้าทำสงครามนั้นต้องมีสาเหตุที่สามารถอธิบายความชอบธรรมของการตัดสินใจเข้าสู่สงครามได้ เพื่อที่ว่าจะใช้เป็นเครื่องมือหรือข้ออ้างในการเข้าสู่สงคราม และนำประชาชนไปสู่ความยากลำบาก
ในทางทฤษฎี Just War ถูกแบ่งเป็น 2 สำนักคิด คือ สำนัก “สิทธิในการเข้าสู่สงคราม” (Right to go to war, (Jus in bello)) เน้นเหตุชอบธรรมของการมีส่วนร่วมในสงคราม กับสำนัก “สิทธิในการเลือกวิธีทำสงคราม” (ซึ่งถกเถียงกันมายาวนานเช่นกันว่า ผลลัพธ์กำหนดวิธีการ หรือวิธีการกำหนดผลลัพธ์)
ข้อถกเถียงเกี่ยวกับ Just War ยังเชื่อมโยงไปถึงท่าทีต่อทหารของกองทัพที่ถือเป็นศัตรูอีกด้วยว่าจะใช้หลักปฏิบัติอย่างไรในการทำสงคราม ระหว่างท่าทีแบบนักรบที่ทรงเกียรติ หรือศัตรูที่ต้องทำลายล้างอย่างไม่มีวิธีการ
สมุดปกขาวล่าสุดของจีนนี้ แม้ยังไม่ก้าวล่วงไปถึงกระบวนวิธีทำสงคราม แต่เน้นไปที่เหตุของการเข้าสู่สงครามเป็นหลัก ดังนั้น จึงคาดหมายว่านี่เป็นแค่การ “โหมโรง” ธรรมดา ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นห้ำหั่นในสมรภูมิจริง
เจอไม้นี้เข้า นักเลงโตแบบคาวบอยในทำเนียบขาว คงต้องถามตัวเองให้ดีว่า จะเป็นเการพหรือปาณฑพ และเป็นโจโฉหรือเล่าปี่ กันดี