พาราสาวะถี
ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย อย่างที่เคยบอกไว้ตั้งนานแล้วว่าให้เขียนข่าวรอแปะข้างฝาไว้ได้เลย คนในรัฐบาลนี้ไล่ตั้งแต่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปจนถึงรัฐมนตรีที่มาจากสายการเมืองเก่าอันนำโดย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะไปร่วมงานกับพรรคการเมืองซึ่งก็คือพลังประชารัฐอย่างแน่นอน ความจริงไม่ควรบอกว่าไปร่วมงานเพราะร่วมกันก่อตั้งพรรคมาตั้งแต่ต้น
อรชุน
ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย อย่างที่เคยบอกไว้ตั้งนานแล้วว่าให้เขียนข่าวรอแปะข้างฝาไว้ได้เลย คนในรัฐบาลนี้ไล่ตั้งแต่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปจนถึงรัฐมนตรีที่มาจากสายการเมืองเก่าอันนำโดย สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ จะไปร่วมงานกับพรรคการเมืองซึ่งก็คือพลังประชารัฐอย่างแน่นอน ความจริงไม่ควรบอกว่าไปร่วมงานเพราะร่วมกันก่อตั้งพรรคมาตั้งแต่ต้น
ที่ผ่านมาก็เก็บอาการกันตลอดแต่มันปิดไม่มิด ยิ่งได้เห็นท่าทีของคนที่เคยประกาศหัวเด็ดตีนขาดไม่เล่นการเมือง แต่กลับพลิกลิ้นหน้าตาเฉย ยิ่งทำให้เห็นเส้นทางการสืบทอดอำนาจได้ชัดเจน ดังนั้น การกระทุ้งเรื่องรัฐมนตรีทำอะไรก็ได้ของ วิษณุ เครืองาม จึงเป็นใบเสร็จเบิกทางกับการจะกระโดดไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับพรรคพลังประชารัฐในวันที่ 29 กันยายนนี้
สุดท้ายก็เป็นอย่างที่บอกอีกเช่นกัน สิ่งที่บิ๊กตู่พูดถึงรัฐมนตรีจะไปร่วมงานกับพลังประชารัฐโดยอ้างว่ารัฐบาลที่ผ่านมาก็เคยทำ โดยลืมมองไปถึงกำพืดของที่มาในการบริหารประเทศระหว่างรัฐบาลเผด็จการกับรัฐบาลที่ผ่านการเลือกตั้ง แต่เมื่อเล่นบทสีข้างเข้าถูและใช้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกดทับกันมาตลอด มันจึงต้องใช้การแถกันไปให้สุดทาง
ไม่มีใครว่า ใครห้าม เพราะรู้กันอยู่แล้วอย่างไรเสียก็จะต้องมีวันนี้ วันที่เผด็จการจะกลายร่างเป็นนักการเมือง เป็นผู้รักประชาธิปไตย และก็อยากให้ท่านผู้นำจำคำพูดของตัวเองไว้ให้ดีว่าไม่หวั่นแรงเสียดทานเพราะเจอมากว่า 4 ปีแล้ว หากมีใครลุกฮือหรือออกมาเคลื่อนไหวแสดงความไม่เห็นด้วยต่อการสืบทอดอำนาจ ก็อย่าใช้อำนาจเด็ดขาดหรือกฎหมายพิเศษจัดการคนเหล่านั้นก็แล้วกัน
แต่คงยากในเมื่อทุกอย่างที่อ้างว่าสงบราบคาบนั้นมันใช้อำนาจเด็ดขาดจัดการมาโดยตลอด สิ่งสำคัญที่ท่านผู้นำบอกว่า รัฐบาลนี้เข้ามาแก้ปัญหาให้ประเทศหลายอย่าง ทั้งเรื่องการจัดสรรที่ดิน การบริหารจัดการน้ำ รวมถึงการบุกรุกและการแก้ปัญหาทุจริต พร้อมย้อนถามสื่อว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสามารถทำได้เช่นตนหรือไม่ ช่างเป็นการพูดที่ไม่อายเสียนี่กระไร
หากเป็นรัฐบาลที่ใช้อำนาจปกติมันจะทำเช่นนั้นได้หรือ เอะอะอะไรก็ใช้มาตรา 44 ที่ไม่มีใครตรวจสอบหรือคัดค้านได้ ถามว่ายังกล้าที่จะนำมาเป็นความภาคภูมิใจอีกหรือ แม้กระทั่งเรื่องความไม่โปร่งใสหลายประการ หากท่านผู้นำปฏิเสธที่จะตรวจสอบต่อ ประเภทญาติโกโหติกาไปตั้งบริษัทในค่ายทหารหากินกับกองทัพ หากเป็นรัฐบาลเลือกตั้งคงจะถูกเล่นงานกันจนต้องยุบสภากันไปแล้ว
นี่เปล่าเลย เลือกที่จะให้ทุกอย่างเงียบโดยใช้อำนาจทั้งหมดที่มี เพื่อไม่ให้กระทบภาพความเป็นคนดีของท่านผู้นำ ความโปร่งใส ไร้คอร์รัปชั่นนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะให้ใครมาบอกหรือยกยอปอปั้นหรือสรรเสริญตัวเอง แต่ตัวเองนั่นแหละที่ต้องรู้อยู่แก่ใจ หลายเรื่องที่เป็นข้อสงสัยของสังคมได้รับการแก้ไขให้กระจ่างแล้วหรือถูกทำให้เงียบเพื่อไม่ให้ตัวเองและคณะเสียคะแนนนิยม
อีกนั่นแหละ เผด็จการยุคใหม่ที่มีชนชั้นนำ คนดีทั้งหลายพร้อมจะเพิกเฉย เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ และพร้อมที่จะเชิดชูให้กลับมาเป็นผู้นำประเทศอีกกระทอก โดยไม่สนใจว่าจะเป็นการสืบทอดอำนาจจากรากเหง้าอย่างไร ทุกอย่างจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ทั้งหมดไม่ใช่ว่าคนไม่รู้ แต่รอแค่ว่ามันจะเกิดภาพที่ชัดเจนเมื่อไหร่เท่านั้น
เป็นอันว่าการประชุมพรรคพลังประชารัฐวันที่ 29 กันยายนนี้ ไม่ต้องมีอะไรปกปิดกันอีกต่อไป คณะผู้บริหารพรรคก็หนีไม่พ้นคนที่นั่งร่วมโต๊ะประชุมครม.กับพลเอกประยุทธ์นั่นแหละ อยู่ที่ว่าจะจัดวางใครไว้ตรงไหน แต่คงไม่ได้หลุดไปจากที่มีข่าวกันก่อนหน้า ที่จะเห็นภาพกันชัดคือบรรดานักการเมืองที่จะเปิดตัวกันอย่างเป็นทางการ
ชิงเปิดตัวก่อนใครเพื่อนและสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำว่านี่เป็นอดีตส.ส.เกรดเอ ไม่ใช่พวกเกรดบีเกรดซีเหมือนที่ปรากฏชื่อกันไปก่อนหน้านี้ วันวานกลุ่มสามมิตรโดย ภิรมย์ พลวิเศษ แถลงผลงานการดึงตัว สรวุฒิ เนื่องจำนงค์ อดีตส.ส.ชลบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมก๊วน พร้อมบอกเสร็จสรรพว่าจะได้รับการเสนอชื่อให้เป็นรองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐด้วย
ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยนอะไรกันอีกแล้ว และไม่ต้องไปเล่นจำอวดที่ไหนอีกว่ากลุ่มสามมิตรไม่ใช่นอมินีของพลังประชารัฐในการดูดอดีตส.ส.จากพรรคต่าง ๆ โดยเฉพาะสองพรรคการเมืองใหญ่ และไม่ต้องบอกอีกว่า ขอประเมินแนวทางของแต่ละพรรคก่อนตัดสินใจว่าจะร่วมกับพรรคการเมืองใด เพราะเปิดหน้ากันมาขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องปาหี่กันอีกต่อไป
น่าสนใจ ตรงคำพูดของสรวุฒิที่บอกว่า มีโอกาสได้คุยกับผู้ใหญ่ในรัฐบาลรวมทั้งรัฐมนตรีหลายคนก่อนตัดสินใจ หลายคนคงอยากรู้สถานที่ที่ใช้ในการเจรจาคือทำเนียบรัฐบาลหรือเปล่า คงไม่ต้องคาดเดาก็อย่างที่รู้กัน คนของคณะเผด็จการเสียอย่างคิดการใหญ่ต้องใจถึงและไม่ต้องกลัวว่าใครจะมาตีโพยตีพาย ถ้าจะใช้สถานที่นี้เสียอย่างใครจะมีปัญหา ไม่ต้องมาถามถึงความเหมาะสมเพราะถ้าคิดแบบนั้น คงไม่สืบทอดอำนาจและภาคภูมิใจกับการใช้อำนาจเผด็จการบริหารประเทศ
หนักแน่นไปกว่านั้นอีกกับสิ่งที่อดีตส.ส.พรรคเก่าแก่รายนี้ยืนยัน นั่นก็คือ ความเชื่อมั่นที่ว่าพลังของกลุ่มสามมิตรจะช่วยให้ประเทศชาติเดินหน้า แก้ปัญหาต่าง ๆ ที่สั่งสมมาในเวลาอันสั้น ถ้าจะทำการเมืองต่อก็ต้องเลือกจะอยู่กับกลุ่มที่มีศักยภาพ มีพลังในการเปลี่ยนแปลงประเทศ เพื่อที่จะได้สิทธิ์ได้เสียงเข้าไปทำงานต่อไป ไม่ต้องบอกว่าพลังวิเศษนั้นมาจากแห่งหนใด
การเมืองนับแต่วินาทีนี้ ความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองอื่นจะถูกยึดพื้นที่ข่าวโดยพลังประชารัฐ และจะยิ่งเป็นที่โจษจันกันมากขึ้นเมื่อได้เห็นรายชื่อผู้นำและกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 29 นี้ ที่ต้องติดตามกันต่อไปคือ ค่ายนายใหญ่จะใช้แท็กติกอะไรมาต่อสู้กับคู่ต่อกรที่ถึงเวลานี้ติดอาวุธครบมือ หากเล่นกันแบบแฟร์ ๆ ก็เป็นเรื่องที่ชวนให้ประชาชนได้ลุ้นระทึกกันอยู่ไม่น้อย แต่ถ้าเข้าอีหรอบมัดมือชกอยู่ฝ่ายเดียว ก็ยากที่จะประเมินว่าสถานการณ์ปลายทางจะจบลงอย่างไร